การทำงานจากที่บ้านเป็นเรื่องที่หลายสาขาอาชีพยอมรับกันในช่วงการระบาดของโควิด-19 แน่นอนไม่ใช่ทุกเส้นทางอาชีพจะเปลี่ยนมาทำงานทางไกลได้ทันที แต่เนื่องจากสถานการณ์บังคับทำให้หลายอาชีพอย่างเจ้าหน้าที่สาธารณสุขเริ่มปรับการทำงานเป็นการตรวจวินิจฉัยโรคจากทางไกลและบริการส่งยาไปให้ผู้ป่วยที่บ้าน ลดจำนวนผู้ป่วยไปโรงพยาบาลให้น้อยลง

การทำงานทางไกลมีทั้งข้อดีและข้อเสีย สิ่งแรกคือความยืดหยุ่นในชั่วโมงการทำงานช่วยให้รับมือกับความท้าทายต่าง ๆ ได้ดีขึ้น ประหยัดเวลาเดินทาง ประหยัดค่าใช้จ่าย ให้โอกาสสร้างสมดุลระหว่างงานและชีวิตส่วนตัวได้ดีขึ้น ไม่น่าแปลกใจที่คนทำงานทางไกลตัดสินใจจะทำงานแบบนี้ต่อไปอีกแม้ยุคโควิด-19 จะผ่านพ้นไปแล้ว

พูดถึงข้อเสียจากการทำงานทางไกลคือการเข้าสังคมกับเพื่อนร่วมงานลดลง หลายคนรู้สึกขาดแรงจูงใจและโดดเดี่ยว พ่อแม่ที่ทำงานพร้อมดูแลลูกเล็กอยู่กับบ้านจะทำงานได้ไม่เต็มที่เพราะถูกขัดจังหวะอยู่บ่อย ๆ การทำงานทางไกลส่งผลต่อสุขภาพจิตของคนเราต่างกันไป หลายคนเริ่มทำงานทางไกลรู้สึกการเปลี่ยนแปลงกิจวัตรประจำวัน ทำให้เกิดอาการซึมเศร้า วิตกกังวล นอนไม่หลับ แต่ส่วนใหญ่พบว่าการไม่ต้องออกไปเสี่ยงติดเชื้อนอกบ้านทำให้รู้สึกสบายใจมากขึ้น

วิธีรับมือกับความท้าทายเมื่อต้องเปลี่ยนมาทำงานทางไกล มีดังนี้

1.ตรวจสอบกิจวัตรของตนเองอยู่เสมอ
การเปลี่ยนแปลงกิจวัตรประจำวันอย่างกะทันหันอาจส่งผลกระทบต่อคนที่ปรับตัวยากสักหน่อย เปลี่ยนจากที่เคยตื่นแต่เช้าออกเดินทางไปทำงานจะมีเวลาทำงานเพิ่มขึ้นหลายชั่วโมง ควรเช็กร่างกายและอารมณ์ของตนเองตลอดทั้งวัน ถ้านั่งทำงานเป็นเวลานานหลายชั่วโมงอาจทำให้เกิดความเครียดมากขึ้น ควรพักสมองเป็นระยะ เช่น ลุกไปดื่มน้ำหรือเข้าห้องน้ำ หากนั่งจ้องหน้าจอติดต่อกันนานแล้วน้ำตาไหล ควรลุกขึ้นเดินยืดเส้นยืดสายเพื่อไม่ให้ร่างกายปวดเมื่อยและสายตาอ่อนล้า รับประทานผลไม้บำรุงสายตาและเติมพลังให้ตัวเองตลอดทั้งวัน หลังจากทำงานเสร็จในแต่ละวันควรหากิจกรรมทำช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย ไม่คิดถึงเรื่องงานต่อเนื่อง เช่น เดินเล่น ออกกำลังกายช่วงสั้น ๆ หรือเตรียมอาหารทำกับข้าว

2.ไม่ละทิ้งสังคม ควรติดต่อกับผู้อื่นสม่ำเสมอ
หากรู้สึกโดดเดี่ยวและขาดแรงจูงใจในการทำงานควรมองหาช่องทางติดต่อเพื่อนร่วมงานทุกวัน อาจกำหนดเวลาพักสัก 15 นาทีเพื่ออ่านข้อความอีเมล อ่านบล็อก แชท และใช้โซเชียลมีเดีย เจ้านายและลูกน้องคุยโทรศัพท์ติดต่อเรื่องงานอย่างเปิดเผยเพื่อให้ความรู้สึกมั่นใจมากขึ้น จัดประชุมทางไกลในเวลางาน พร้อมทั้งหาเวลาจัดกิจกรรมกับเพื่อน ๆ และครอบครัวเพื่อเชื่อมต่อสังคมกับทีมงาน จะช่วยบรรเทาความรู้สึกโดดเดี่ยวและหมดไฟในการทำงานไปได้

3.สื่อสารกับหัวหน้างานหรือผู้จัดการบ่อย ๆ
การเปลี่ยนมาทำงานทางไกลค่อนข้างเป็นเรื่องใหม่สำหรับหลายองค์กร โดยเฉพาะอาชีพที่ทำงานกันเป็นทีมอาจพบปัญหาและไม่ได้พูดคุยปรึกษากับหัวหน้างานหรือผู้จัดการในทันที ควรจัดการสัมมนาออนไลน์ให้มากขึ้นเพื่อให้เห็นว่าแต่ละคนทำงานคืบหน้าอย่างไร ควรปรับปรุงตรงไหน ในด้านการสื่อสารควรเน้นการเปิดเผยและพูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์และแนวคิดของแต่ละคนแบบตรงไปตรงมา

สำหรับหลายสาขาอาชีพ การปรับตัวทำงานทางไกลอาจไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แต่เพราะการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสเกิดขึ้นกะทันหันและเกิดผลกระทบที่ร้ายแรง จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงของโลก ซึ่งแน่นอนว่าเป็นสาเหตุให้หลายคนเกิดความเครียดสะสม หากต้องการความช่วยเหลือ อย่าลังเลที่จะปรึกษาเพื่อนร่วมงาน เจ้านาย และครอบครัวเพื่อก้าวข้ามช่วงเวลายากลำบากนี้ไปได้ด้วยดี