Category: การทำงาน

Shopee social partner ช่องทางสร้างรายได้ใหม่

Affiliate marketing ช่องทางการสร้างรายได้จากการแนะนำสินค้าหรือบริการให้กับผู้อื่นที่ได้รับความนิยมทั้งในไทยและต่างประเทศ ทั้งสายขาวและกลุ่มสายเทาจำพวกเว็บ บอลชุด 3 ตัว โดยผู้ทำ Affiliate marketing จะได้รับค่าตอบแทนเป็นค่าคอมมิชชั่นตามเงื่อนไขที่บริษัท Affiliate marketing กำหนด ซึ่ง Shopee social partner เป็นช่องทางใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อกระตุ้นยอดขายให้กับร้านค้าและสร้างรายได้เสริมด้วย Affiliate marketing ไปพร้อมกัน

Shopee partner คืออะไร ?

Shopee partner คือ โปรแกรมส่งเสริมร้านค้าด้วยการให้ค่าคอมมิชชันเมื่อมีการแนะนำให้ลูกค้ามาซื้อสินค้าบน Shopee โดยร้านค้าจะได้รับค่าคอมมิชชันเมื่อมีการซื้อสินค้าหรือบริการจากโพสต์สินค้าที่ร้านค้าแนะนำ โดยเทคนิคง่าย ๆ ที่ช่วยให้การทำ Affiliate marketing ประสบความสำเร็จ คือ การเลือกสินค้าหรือบริการที่ผู้ทำมีความรู้ หรือประสบการณ์ เพราะจะช่วยให้เกิดความจริงใจในการแนะนำมากกว่าและส่งผลให้เกิดความน่าเชื่อถือ เช่น หากร้านค้าเป็นคนที่เลี้ยงสัตว์และซื้ออาหาร/อุปกรณ์สัตว์เลี้ยงอยู่แล้วก็นำของที่ใช้งานมาถ่ายรูปและรีวิวข้อดี – ข้อเสีย พร้อมเปรียบเทียบราคาจากร้าน Offline และราคาที่ขายบน Shopee เป็นต้น

ข้อดี – ข้อเสีย ในการทำ Affiliate marketing กับ Shopee partner

  • ร้านค้ามีรายได้เพิ่ม ร้านค้าที่ขายของบน Shopee เข้าร่วม Affiliate marketing จะได้รับรายได้จากค่าคอมมิชชันเมื่อลูกค้าซื้อสินค้าที่ร้านค้าแนะนำ
  • ไม่จำกัดว่าต้องขายเฉพาะสินค้าตัวเอง ร้านค้าสามารถรับค่าคอมมิชชันเมื่อนำสินค้าจากร้านอื่นไปแนะนำและมีการซื้อของผ่านลิงก์
  • ไม่กำหนดยอดขั้นต่ำในการถอนเงินค่าคอมมิชชัน โดยส่วนใหญ่แล้ว affiliate marketing โปรแกรมในไทยมักมีการกำหนดยอดขั้นต่ำในการถอนเงินค่าคอมมิชชั่น
  • ค่าคอมมิชชันสูง โดยร้านค้าจะได้รับเงินค่าคอมมิชชันสูงสุด 40% ของยอดคำสั่งซื้อจากลูกค้าใหม่และได้รับค่าคอมมิชชันสูงสุด 5% ของยอดคำสั่งซื้อสำหรับลูกค้าปัจจุบัน
  • ไม่เสียค่าสมัครและมีทีมงานสอนฟรี ร้านค้าสามารถเข้าร่วม Affiliate marketing ได้ฟรี! และมีเจ้าหน้าที่คอยให้คำปรึกษาตลอด
  • จ่ายเงินตรงตามกำหนด มีกำหนดการจ่ายเงินทุกวันพฤหัสบดีที่ 2 ของเดือน
  • ข้อเสียของการทำ Affiliate marketing กับ Shopee partner
  • ต้องเป็นร้านค้าของ Shopee เท่านั้น การทำ affiliate marketing ในประเภท Shopee partner จะต้องเป็นร้านค้าที่ขายอยู่ใน Shopee เท่านั้น

อยากหารายได้จาก affiliate marketing Shopee partner ต้องทํายังไง?

สำหรับผู้ที่กำลังมองหาช่องทางในการขายสินค้าไปพร้อมกับการสร้างรายได้จาก affiliate marketing เริ่มต้นด้วยการสมัครขายสินค้ากับ Shopee โดยกรอกข้อมูลให้ครบถ้วนและกรอกข้อมูลสินค้า รายละเอียดสินค้า จากนั้นจึงกดเข้าร่วม https://seller-rewards.Shopee.co.th/Shopeesocialpartners

วิธีปรับตัวทำงานแบบ Work from Home ในยุคโควิด

การทำงานจากที่บ้านเป็นเรื่องที่หลายสาขาอาชีพยอมรับกันในช่วงการระบาดของโควิด-19 แน่นอนไม่ใช่ทุกเส้นทางอาชีพจะเปลี่ยนมาทำงานทางไกลได้ทันที แต่เนื่องจากสถานการณ์บังคับทำให้หลายอาชีพอย่างเจ้าหน้าที่สาธารณสุขเริ่มปรับการทำงานเป็นการตรวจวินิจฉัยโรคจากทางไกลและบริการส่งยาไปให้ผู้ป่วยที่บ้าน ลดจำนวนผู้ป่วยไปโรงพยาบาลให้น้อยลง

การทำงานทางไกลมีทั้งข้อดีและข้อเสีย สิ่งแรกคือความยืดหยุ่นในชั่วโมงการทำงานช่วยให้รับมือกับความท้าทายต่าง ๆ ได้ดีขึ้น ประหยัดเวลาเดินทาง ประหยัดค่าใช้จ่าย ให้โอกาสสร้างสมดุลระหว่างงานและชีวิตส่วนตัวได้ดีขึ้น ไม่น่าแปลกใจที่คนทำงานทางไกลตัดสินใจจะทำงานแบบนี้ต่อไปอีกแม้ยุคโควิด-19 จะผ่านพ้นไปแล้ว

พูดถึงข้อเสียจากการทำงานทางไกลคือการเข้าสังคมกับเพื่อนร่วมงานลดลง หลายคนรู้สึกขาดแรงจูงใจและโดดเดี่ยว พ่อแม่ที่ทำงานพร้อมดูแลลูกเล็กอยู่กับบ้านจะทำงานได้ไม่เต็มที่เพราะถูกขัดจังหวะอยู่บ่อย ๆ การทำงานทางไกลส่งผลต่อสุขภาพจิตของคนเราต่างกันไป หลายคนเริ่มทำงานทางไกลรู้สึกการเปลี่ยนแปลงกิจวัตรประจำวัน ทำให้เกิดอาการซึมเศร้า วิตกกังวล นอนไม่หลับ แต่ส่วนใหญ่พบว่าการไม่ต้องออกไปเสี่ยงติดเชื้อนอกบ้านทำให้รู้สึกสบายใจมากขึ้น

วิธีรับมือกับความท้าทายเมื่อต้องเปลี่ยนมาทำงานทางไกล มีดังนี้

1.ตรวจสอบกิจวัตรของตนเองอยู่เสมอ
การเปลี่ยนแปลงกิจวัตรประจำวันอย่างกะทันหันอาจส่งผลกระทบต่อคนที่ปรับตัวยากสักหน่อย เปลี่ยนจากที่เคยตื่นแต่เช้าออกเดินทางไปทำงานจะมีเวลาทำงานเพิ่มขึ้นหลายชั่วโมง ควรเช็กร่างกายและอารมณ์ของตนเองตลอดทั้งวัน ถ้านั่งทำงานเป็นเวลานานหลายชั่วโมงอาจทำให้เกิดความเครียดมากขึ้น ควรพักสมองเป็นระยะ เช่น ลุกไปดื่มน้ำหรือเข้าห้องน้ำ หากนั่งจ้องหน้าจอติดต่อกันนานแล้วน้ำตาไหล ควรลุกขึ้นเดินยืดเส้นยืดสายเพื่อไม่ให้ร่างกายปวดเมื่อยและสายตาอ่อนล้า รับประทานผลไม้บำรุงสายตาและเติมพลังให้ตัวเองตลอดทั้งวัน หลังจากทำงานเสร็จในแต่ละวันควรหากิจกรรมทำช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย ไม่คิดถึงเรื่องงานต่อเนื่อง เช่น เดินเล่น ออกกำลังกายช่วงสั้น ๆ หรือเตรียมอาหารทำกับข้าว

2.ไม่ละทิ้งสังคม ควรติดต่อกับผู้อื่นสม่ำเสมอ
หากรู้สึกโดดเดี่ยวและขาดแรงจูงใจในการทำงานควรมองหาช่องทางติดต่อเพื่อนร่วมงานทุกวัน อาจกำหนดเวลาพักสัก 15 นาทีเพื่ออ่านข้อความอีเมล อ่านบล็อก แชท และใช้โซเชียลมีเดีย เจ้านายและลูกน้องคุยโทรศัพท์ติดต่อเรื่องงานอย่างเปิดเผยเพื่อให้ความรู้สึกมั่นใจมากขึ้น จัดประชุมทางไกลในเวลางาน พร้อมทั้งหาเวลาจัดกิจกรรมกับเพื่อน ๆ และครอบครัวเพื่อเชื่อมต่อสังคมกับทีมงาน จะช่วยบรรเทาความรู้สึกโดดเดี่ยวและหมดไฟในการทำงานไปได้

3.สื่อสารกับหัวหน้างานหรือผู้จัดการบ่อย ๆ
การเปลี่ยนมาทำงานทางไกลค่อนข้างเป็นเรื่องใหม่สำหรับหลายองค์กร โดยเฉพาะอาชีพที่ทำงานกันเป็นทีมอาจพบปัญหาและไม่ได้พูดคุยปรึกษากับหัวหน้างานหรือผู้จัดการในทันที ควรจัดการสัมมนาออนไลน์ให้มากขึ้นเพื่อให้เห็นว่าแต่ละคนทำงานคืบหน้าอย่างไร ควรปรับปรุงตรงไหน ในด้านการสื่อสารควรเน้นการเปิดเผยและพูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์และแนวคิดของแต่ละคนแบบตรงไปตรงมา

สำหรับหลายสาขาอาชีพ การปรับตัวทำงานทางไกลอาจไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แต่เพราะการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสเกิดขึ้นกะทันหันและเกิดผลกระทบที่ร้ายแรง จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงของโลก ซึ่งแน่นอนว่าเป็นสาเหตุให้หลายคนเกิดความเครียดสะสม หากต้องการความช่วยเหลือ อย่าลังเลที่จะปรึกษาเพื่อนร่วมงาน เจ้านาย และครอบครัวเพื่อก้าวข้ามช่วงเวลายากลำบากนี้ไปได้ด้วยดี

แนะ 3 เทคนิค สร้างรายได้จากเรื่องใกล้ตัว

นับตั้งแต่มีสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 ทำให้ทุกคนได้รับผลกระทบกันอย่างทั่วหน้า ผู้ประกอบการบางแห่งต้องปิดกิจการชั่วคราวเพราะต้องล็อกดาวน์ ลูกจ้างตกงานบ้าง โดนลดเงินเดือนบ้าง ทำให้รายได้ที่เคยมีเพื่อเลี้ยงชีพหายไป มีหลายคนที่ชีวิตสูญสิ้นทุกอย่าง เพราะไม่ได้มีการเตรียมตัวและไม่เคยวางแผนเพื่อรองรับสถานการณ์ฉุกเฉินที่อาจเกิดขึ้นแบบนี้ แต่ก็มีอีกหลายคนที่เจอกับวิกฤตและได้เปลี่ยนวิกฤติให้เป็นโอกาส เปลี่ยนจากคนหมดหนทางทำมาหากิน มาสร้างรายได้จากอาชีพใหม่ที่เกิดขึ้นได้จากเรื่องใกล้ตัว ลองมาดูกันว่า เราสามารถสร้างรายได้จากสิ่งใกล้ตัวได้อย่างไรกันบ้าง

1.สร้างเงินจากสิ่งที่เราชื่นชอบ
นาทีนี้หากจะให้ไปเรียนรู้เพื่อหาเทคนิคหรือวิชาความรู้อย่างการเข้าคอร์สเรียน ในรูปแบบเดิม ๆ ยังจะไม่ทันเวลาและสถานการณ์แล้ว เพราะในช่วงที่รายได้หดหายไป รายจ่ายและภาระต่าง ๆ เรายังคงเดิม การที่จะหารายได้จากสิ่งที่เราไม่ถนัดก็เป็นสิ่งที่เสียเวลา และอาจจะต้องลงทุนด้วยเงินก้อนโตซึ่งเป็นความเสี่ยงเกินไป ดังนั้น สิ่งที่จะมาช่วยสร้างรายได้ให้เรา ควรจะเริ่มจากสิ่งที่เราชอบก่อน เพราะความชอบจะกลายเป็นแรงผลักดันให้เราทำทุกอย่างได้จนสำเร็จ เช่น ชอบวาดรูปก็รับออเดอร์วาดรูปลงขายตามหน้าเพจ หรือชอบทำอาหารก็ทำอาหารกล่องส่งขาย ชอบทำความสะอาดก็รับทำความสะอาดบ้านเป็นจ๊อบ ๆ หรือแม้แต่ชอบอยู่กับสัตว์เลี้ยงก็รับดูแลเลี้ยงสัตว์เวลาที่เจ้าของไม่อยู่บ้าน เป็นต้น

2.ทำเงินจากความสามารถที่เรามี
ณ จุดนี้สิ่งแรกที่เราต้องทำก็คือ การสำรวจตัวเองว่าเรามีความสามารถอะไรที่สามารถเปลี่ยนเป็นรายได้เข้ามาได้บ้าง เช่น เป็นคนชอบร้องเพลง เล่นดนตรี ก็อัดคลิปลงช่องยูทูปหรือหน้าเพจเพื่อให้มียอดวิวและรับส่วนแบ่งจากค่าโฆษณากลับมา หรือการชอบเขียนไดอารี่ ก็สามารถรับงานพิเศษ เช่น เขียนบทความหรือทำบทความลงเว็บไซต์หรือรับงานเป็นนักเขียนฟรีแลนซ์ก็ได้อีกเช่นกัน ซึ่งสิ่งเหล่านี้ตัวเราเองจะเป็นคนที่รู้ดีว่าเราเก่งในเรื่องไหน ลองสำรวจตัวเองและเปิดเผยความสามารถของตัวเองออกมาเพื่อให้คนอื่นรู้ แล้วการรับรู้เหล่านั้นจะสร้างช่องทางในการหารายได้ให้กับเราเอง

3.สร้างเงินได้จากความสามารถพิเศษที่คนอื่นไม่มี
ความสามารถพิเศษในที่นี้ไม่ได้จำกัดว่าต้องเป็นเรื่องไหนโดยเฉพาะ บางครั้งอาจจะเป็นเรื่องที่เรารู้สึกว่ามันเป็นเรื่องธรรมดามาก แต่คนที่เขาทำอย่างเราไม่ได้กลับกลายเป็นสิ่งที่พิเศษขึ้นมาก็เป็นได้ เช่น การถ่ายภาพ การตัดต่อคลิป VDO การออกแบบเสื้อผ้า การทำงาน DIY การตัดเย็บเสื้อผ้า การทำโฟโต้ช้อป ความสามารถในการใช้ภาษาที่ 2-3 ทุกอย่างสามารถเปลี่ยนเป็นช่องทางทำมาหาเงินให้เราได้ทั้งนั้น อยู่ที่เราจะมองหาโอกาสหรือไม่ และหลายต่อหลายครั้งที่คนสร้างตัวขึ้นมาได้ ก็มาจากเรื่องที่ตัวเขาเองคิดว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา

นอกจากการสร้างรายได้จากสิ่งที่ถนัด เป็นความสามารถพิเศษ และความชอบส่วนตัวแล้ว ยังมีช่องทางอื่น ๆ ที่เราสามารถสร้างรายได้จากเรื่องใกล้ตัวอีก เช่น ความสามารถแก้ปัญหาให้คนอื่นได้ อาทิ ขายอาหารตอนเช้าให้คนทำงานออฟฟิศ รับรีดผ้า รับวิ่งงานส่งเอกสาร เป็นต้น ทุกอย่างสามารถเปลี่ยนเป็นตัวเงินกลับมาสู่กระเป๋าเราได้ ขอแค่เพียงเรามองหาโอกาสนั้น มีคำเปรียบเปรยว่ามีเงินลอยอยู่กลางอากาศเสมอ อยู่ที่ว่าใครจะมองเห็นช่องทางในการเก็บเงินเหล่านั้นมาสู่กระเป๋าตัวเอง หมายถึงมีโอกาสอยู่ทุกที่ ขอเพียงลงมือทำเท่านั้น ก็จะสามารถหาเงินได้แน่นอน

วิธีทำงานประจำ ให้มีประสิทธิภาพ

แต่ละคนมีประสิทธิภาพในการทำงานแตกต่างกันออกไป แต่ก็สามารถพัฒนาให้เท่าเทียมกันได้ ขึ้นอยู่กับความพยายาม หากเราไม่ถนัดทักษะด้านใด การฝึกฝนเป็นประจำก็จะช่วยให้เห็นผลได้ในวันใดวันหนึ่ง วันนี้เราจึงขอเสนอ 5 เทคนิคการทำงานให้มีประสิทธิภาพ เพื่อให้ผลงานเป็นที่น่าพอใจ ถึงแม้จะไม่มีใครเห็นคุณค่า แต่ถ้าเราทำด้วยความจริงใจและตั้งใจแล้ว อย่างน้อยก็สร้างความภูมิใจให้กับตัวเองได้

5 เทคนิคการทำงานให้มีประสิทธิภาพ

ตั้งเป้าหมายให้ชัดเจน : เป้าหมายในการทำงานของแต่ละคน นอกจากคาดหวังให้มีผลงานออกมาเป็นที่น่าพึงพอใจแล้ว การตั้งเป้าหมายระยะยาวจะช่วยให้เรามีแรงบันดาลใจในการทำงานเพิ่มขึ้นด้วย เช่น ตั้งใจเก็บเงินเพื่อนำไปเที่ยวหรือลงทุนทำธุรกิจ หรือมีเป้าหมายอื่น ๆ ก็ตาม เพราะการตั้งเป้าหมายในสิ่งที่เราชอบและมีความชัดเจน ย่อมเป็นแรงขับเคลื่อนที่ดีกว่าการทำงานประจำไปวัน ๆ โดยไร้เป้าหมายแน่นอน

มีวินัยในการทำงาน : การทำงานประจำถึงแม้จะเป็นเรื่องซ้ำ ๆ เดิม แต่เราก็ไม่ควรละเลยเรื่องความมีวินัย เพราะจะเป็นการแสดงถึงความรับผิดชอบ นอกจากนี้ยังช่วยให้เราบริหารเวลาได้ดีขึ้น ไม่ต้องเร่งทำงานเมื่อใกล้ถึงกำหนด จนอาจทำให้เกิดความเครียดและส่งผลเสียต่อร่างกายตามมาได้

ไม่ติดอยู่ใน comfort zone : บางคนอาจจะคิดว่ามีงานประจำทำแล้ว ไม่ต้องหาความรู้เพิ่มเติมก็ได้ แต่เป็นความคิดที่ผิด เพราะโลกเรามีความก้าวหน้าไปทุก ๆ วัน ถ้าเราไม่พัฒนาความรู้ตามไปด้วยก็จะทำให้กลายเป็นคนล้าหลังได้ โดยสมัยนี้มีแหล่งความรู้มากมายทั้งออฟไลน์และออนไลน์ ให้หาความรู้เพิ่มเติมกันได้ตามแบบที่ต้องการ ซึ่งความรู้ที่เรามีเพิ่มขึ้นในเรื่องต่างๆ ก็จะช่วยให้เรารู้เท่าทันโลก ไม่ตกเป็นเหยื่อของใครได้ง่าย ๆ ด้วย

ท้อได้แต่อย่าถอย : ในการทำงานย่อมเกิดความเหนื่อยล้า ถ้าหากมีความผิดหวังหรือความเครียดมาก ๆ ก็อาจทำให้เกิดความรู้สึกท้อได้ ซึ่งเราก็ควรให้เวลาตัวเองได้ผ่อนคลาย อาจจะไปพักผ่อนให้สมองได้หยุดความคิดเรื่องงานสักพัก แล้วค่อยกลับมาสู้กับปัญหาใหม่ หากเราพยายามมากพอ สักวันก็จะผ่านพ้นปัญหาไปได้อย่างแน่นอน

มองภาพรวมขององค์กร : ลักษณะงานแต่ละงานมีทั้งงานเดี่ยวและต้องร่วมทีมกับคนอื่น ๆ ซึ่งไม่ว่างานแบบไหนเราก็ต้องทำหน้าที่ของตัวเองให้เต็มที่ หากเป็นงานที่เป็นกลุ่มก็ต้องเพิ่มความเชื่อใจต่อคนในทีมด้วย เพราะแต่ละคนอาจจะเก่งไม่เท่ากันแต่ก็สมควรได้รับความเชื่อใจไม่น้อยไปกว่ากัน หากเรามองเห็นปัญหาว่าคนไหนยังทำงานได้ไม่ดีพอ ก็อาจจะให้คำปรึกษาเป็นระยะ แต่ต้องไม่ลืมความเชื่อใจในฝีมือของคนอื่น เพราะจะช่วยสร้างความมั่นใจ ซึ่งจะเป็นผลดีต่อการทำงานในครั้งถัดไปด้วย

การทำงานทุกชนิด หากเรามีความพยายามและตั้งใจมากพอ ก็จะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้งานออกมามีประสิทธิภาพได้ หากยังมีข้อผิดพลาดบ้างเล็กน้อย อย่างน้อยเราก็สามารถตอบตัวเองได้ว่าเราได้ทำอย่างเต็มที่แล้ว

วิธีทำงานประจำ ให้มีประสิทธิภาพ