Category: สุขภาพ

อาหารสำหรับคนเป็นกรดไหลย้อน

กรดไหลย้อนหรือที่เรียกว่าอาการเสียดท้องอาจเป็นความเจ็บปวดอย่างแท้จริง เกิดจากกรดในกระเพาะอาหารไหลกลับเข้าไปในหลอดอาหารซึ่งเป็นท่อที่เชื่อมระหว่างปากกับกระเพาะอาหาร สิ่งนี้อาจทำให้เกิดอาการแสบร้อนที่หน้าอก ร่วมกับอาการอื่นๆ ที่ไม่สบายได้

หากคุณเป็นโรคกรดไหลย้อน มีอาหารบางชนิดที่กระตุ้นให้เกิดอาการและทำให้อาการแย่ลงได้ แต่ก็มีอาหารอีกมากมายที่สามารถช่วยบรรเทาอาการท้องและบรรเทาอาการปวดได้

เคล็ดลับในการเลือกอาหารที่ดีสำหรับกรดไหลย้อนมีดังนี้

-กินอาหารมื้อเล็กๆ บ่อยขึ้น วิธีนี้จะช่วยลดปริมาณกรดที่กระเพาะผลิตได้ในคราวเดียว

-หลีกเลี่ยงอาหารที่มีกรดสูง ซึ่งรวมถึงผลไม้รสเปรี้ยว มะเขือเทศ ช็อคโกแลต และกาแฟ

-หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมัน อาหารที่มีไขมันสามารถผ่อนคลายกล้ามเนื้อหูรูดหลอดอาหารส่วนล่าง (LES) ซึ่งเป็นวาล์วที่ป้องกันไม่ให้กรดในกระเพาะอาหารไหลกลับเข้าไปในหลอดอาหาร

-หลีกเลี่ยงอาหารรสเผ็ด อาหารรสเผ็ดอาจทำให้เยื่อบุหลอดอาหารระคายเคืองได้

กินช้าๆและเคี้ยวอาหารให้ละเอียด ซึ่งจะช่วยช่วยในการย่อยอาหารและลดความเสี่ยงของกรดไหลย้อน

-อย่ากินหรือดื่มเครื่องดื่มใกล้เวลานอน วิธีนี้จะช่วยให้กระเพาะมีเวลาย่อยอาหารก่อนเข้านอน

นี่คือตัวอย่างบางส่วนของอาหารที่ดีสำหรับกรดไหลย้อน

-โปรตีนไร้ไขมัน: ไก่ ปลา และเต้าหู้ล้วนเป็นแหล่งโปรตีนไร้มันที่ดีซึ่งย่อยง่าย

-เมล็ดธัญพืช: เมล็ดธัญพืชเป็นแหล่งไฟเบอร์ที่ดี ซึ่งสามารถช่วยเพิ่มปริมาณอุจจาระและทำให้ขับถ่ายได้ง่ายขึ้น

-ผัก: ผักส่วนใหญ่มีกรดและไขมันต่ำ และมีเส้นใยสูง จึงเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่เป็นโรคกรดไหลย้อน

-ผลไม้: ผลไม้บางชนิด เช่น กล้วย เมลอน และแอปเปิ้ล มีกรดต่ำและมีประโยชน์สำหรับผู้ที่เป็นกรดไหลย้อน อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญคือต้องหลีกเลี่ยงผลไม้รสเปรี้ยวซึ่งมีกรดสูง

-ขิง: ขิงมีคุณสมบัติต้านการอักเสบที่สามารถช่วยบรรเทาอาการท้องได้ คุณสามารถลองดื่มชาขิงหรือเติมขิงลงในอาหารของคุณได้

แน่นอนว่าทุกคนมีความแตกต่างกัน และสิ่งที่ใช้ได้ผลกับคนคนหนึ่งอาจไม่ได้ผลกับอีกคนหนึ่ง สิ่งสำคัญคือต้องจดบันทึกอาหารเพื่อติดตามว่าอาหารชนิดใดที่กระตุ้นให้เกิดอาการของคุณ และทดลองตัวเลือกต่างๆ เพื่อค้นหาสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับคุณ คุณควรพูดคุยกับแพทย์เกี่ยวกับกรดไหลย้อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากอาการรุนแรงหรือไม่ดีขึ้นเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต

เคล็ดลับเพิ่มเติมในการจัดการกรดไหลย้อนมีดังนี้

-รักษาน้ำหนักให้แข็งแรง การมีน้ำหนักเกินสามารถกดดันช่องท้องได้ ซึ่งอาจทำให้กรดไหลย้อนแย่ลงได้

-เลิกสูบบุหรี่ การสูบบุหรี่อาจทำให้หลอดอาหารระคายเคืองและทำให้กรดไหลย้อนแย่ลง

-ยกหัวเตียงของคุณขึ้น ซึ่งจะช่วยป้องกันไม่ให้กรดในกระเพาะไหลกลับเข้าไปในหลอดอาหารในขณะที่คุณนอนหลับ

-สวมเสื้อผ้าหลวมๆ การสวมเสื้อผ้ารัดรูปอาจกดดันช่องท้องและทำให้กรดไหลย้อนแย่ลง

ลดน้ำหนักโดยไม่ต้องออกกำลังกาย

การลดน้ำหนักโดยไม่ต้องออกกำลังกายเป็นไปได้ แต่โดยทั่วไปแล้วจะต้องให้ความสำคัญกับพฤติกรรมการบริโภคอาหารและการเลือกวิถีชีวิตอย่างรอบคอบ โปรดทราบว่าการออกกำลังกายเป็นประจำจะเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพโดยรวม และช่วยเพิ่มความพยายามในการลดน้ำหนักได้ คำแนะนำในการลดน้ำหนักโดยไม่ต้องออกกำลังกายมีดังนี้

1. การเปลี่ยนแปลงด้านอาหาร : การขาดดุลแคลอรี่ สร้างการขาดดุลแคลอรี่โดยการบริโภคแคลอรี่น้อยกว่าที่ร่างกายเผาผลาญ ติดตามปริมาณแคลอรี่ในแต่ละวันของคุณและค่อยๆลดลง, อาหารที่สมดุล มุ่งเน้นไปที่อาหารที่สมดุลด้วยอาหารที่มีสารอาหารหนาแน่นหลากหลาย รวมถึงผลไม้ ผัก โปรตีนไร้ไขมัน ธัญพืชไม่ขัดสี และไขมันที่ดีต่อสุขภาพ, การควบคุมส่วน คำนึงถึงขนาดส่วนเพื่อหลีกเลี่ยงการกินมากเกินไป

2. ความชุ่มชื้น : ดื่มน้ำปริมาณมากตลอดทั้งวัน บางครั้งความกระหายมักถูกเข้าใจผิดว่าเป็นความหิว ซึ่งนำไปสู่การบริโภคแคลอรี่โดยไม่จำเป็น

3. กำหนดเวลามื้ออาหาร : รับประทานอาหารมื้อเล็กๆ และบ่อยขึ้นตลอดทั้งวันเพื่อช่วยควบคุมความหิวและป้องกันการรับประทานอาหารมากเกินไปในมื้ออาหารหลัก

4. หลีกเลี่ยงอาหารแปรรูป : จำกัดการบริโภคอาหารแปรรูป ของว่างที่มีน้ำตาล และเครื่องดื่มแคลอรี่สูง เลือกใช้อาหารทั้งส่วนที่ไม่ผ่านการแปรรูป

5. การรับประทานอาหารอย่างมีสติ : ใส่ใจกับสิ่งที่คุณกิน หลีกเลี่ยงสิ่งรบกวนสมาธิ เช่น ดูทีวีขณะรับประทานอาหารและลิ้มรสอาหารแต่ละคำ วิธีนี้สามารถช่วยป้องกันการกินมากเกินไปได้

6. ฝันดี : การอดนอนอาจส่งผลเสียต่อระบบเผาผลาญและเพิ่มความอยากอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพ ตั้งเป้าการนอนหลับอย่างมีคุณภาพ 7-9 ชั่วโมงในแต่ละคืน

7. ลดความตึงเครียด : ความเครียดเรื้อรังอาจทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นได้ ฝึกกิจกรรมลดความเครียด เช่น การทำสมาธิ การหายใจลึกๆ หรือโยคะ

8. เลือกวิธีการปรุงอาหารที่ดีต่อสุขภาพ : เลือกใช้วิธีปรุงอาหารที่ดีต่อสุขภาพ เช่น การย่าง การอบ การนึ่ง หรือการผัด แทนการทอด

9. อาหารที่อุดมด้วยไฟเบอร์ : รวมอาหารที่มีเส้นใยสูง เช่น ผลไม้ ผัก และธัญพืชไม่ขัดสีไว้ในอาหารของคุณ ไฟเบอร์สามารถช่วยให้คุณรู้สึกอิ่มและพึงพอใจได้

10 เก็บบันทึกอาหาร : ติดตามมื้ออาหารและของว่างของคุณเพื่อตระหนักถึงนิสัยการกินของคุณมากขึ้น สิ่งนี้สามารถช่วยให้คุณระบุจุดที่ต้องปรับปรุงได้

11. สม่ำเสมอ : ความสม่ำเสมอเป็นสิ่งสำคัญ เปลี่ยนแปลงอาหารของคุณอย่างยั่งยืน แทนที่จะเลือกรับประทานอาหารแบบสุดโต่งหรือเข้มงวดซึ่งรักษาได้ยาก

โปรดจำไว้ว่า การตอบสนองของแต่ละคนต่อกลยุทธ์การลดน้ำหนักอาจแตกต่างกันไป และสิ่งสำคัญคือต้องปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพหรือนักโภชนาการก่อนที่จะทำการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญกับอาหารของคุณ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณมีภาวะสุขภาพผิดปกติอยู่ นอกจากนี้ ให้ลองรวมการออกกำลังกายเข้ากับกิจวัตรประจำวันของคุณเพื่อประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย แม้แต่การออกกำลังกายระดับปานกลาง เช่น การเดิน ก็สามารถช่วยลดน้ำหนักและความเป็นอยู่โดยรวมได้

เครียดเชิญทางนี้ มาดู 5 ความสุขสร้างง่ายด้วยตัวเอง

ความสุขทุกวันนี้มันน้อยลงเนื่องจากการทำงานหรือเรียนมีการแข่งขันกันสูง ทุกอย่างเปลี่ยนมาเป็นแบบออนไลน์รวดเร็วทันใจ ระบบที่เอาเงินไปใช้ก่อนจ่ายทีหลัง คนแต่งงานแล้วมีความอดทนน้อยลง คนโสดก็อยากโสดต่อไปเพราะไม่อยากมีภาระ ส่งผลให้คนมีความเครียด ใจร้อน เป็นหนี้และเหงามากขึ้น แต่ท่ามกลางมรสุมนั้นเรายังมีมุมเล็ก ๆ ที่เรียกว่า “ ความสุขของฉัน ” ที่ใครก็เอาไปไม่ได้

สุขที่ได้หายใจเต็มปอด

หลังจากที่ต้องใส่หน้ากากอนามัยอึดอัดมาทั้งวัน เมื่อกลับถึงบ้านแล้วได้ถอดมันออกก็เป็นความรู้สึกที่โล่งและสดชื่นจริง ๆ เปิดหน้าต่างให้ลมธรรมชาติเข้ามาปะทะหน้าเบา ๆ หายใจเข้าลึก ๆ แล้วคิดว่าวันนี้เราได้ทำดีที่สุดแล้วจงภูมิใจในตัวเอง อยู่ในภาวะนั้นสักครู่ เติมพลังให้ตัวเองก่อนจะไปทำธุระอื่น

ขอบคุณอาหารที่เรากินในทุกมื้อ

คนอื่นอาจไม่ได้กินดีแบบเรา เขาอาจไม่เงินซื้อกินและไม่มีเวลากิน ไปโรงพยาบาลแล้วดูว่าพยาบาลกับหมอกินข้าวยังไงโดยเฉพาะตอนมีคนไข้เยอะ ๆ เห็นแล้วจะรู้สึกดีกับไข่เจียว น้ำพริก ผักลวกของเรา

กาแฟหนึ่งแก้วกับงานสามถึงสี่ชั่วโมง

ช่วงเวลาของความสุขและความฮึกเหิมที่ร้อนแรงกว่าช่วงเวลาอื่น ช่วงนี้เราจะทั้งสนุก ทั้งเพลิดเพลิน และภูมิใจในความสามารถของตัวเอง ความรู้สึกถูกเติมเต็ม สดชื่น อยู่กับปัจจุบัน ไม่มีความกังวลเรื่องอนาคตหรือครุ่นคิดเรื่องอดีต และเรายังสามารถมีช่วงเวลาแบบนี้ได้หลายช่วงในหนึ่งวัน หรืออาจเป็นช่วงเช้า 1 ครั้ง ช่วงบ่ายอีก 1 ครั้ง

โลกจะเป็นยังไงก็ช่างเรายังมีซีรีส์เรื่องโปรดไว้ปลอบใจ

ซีรีส์ดีกว่าหนังยังไง เนื่องจากซีรีส์มีตอนใหม่เรื่อย ๆ ไม่ได้จบในทีเดียวเหมือนหนัง มันจึงทำให้เรารู้สึกผูกพัน อบอุ่นและมีความสุขเมื่อได้ดู เป็นความสุขที่ไม่ต้องลงทุนอะไรมาก ยิ่งดูสักตอนสองตอนก่อนนอนนะ รับรองหลับฝันดีมีรอยยิ้มด้วย

พอใจกับสิ่งที่เรามีและสิ่งที่เราเป็น

ถึงแม้ว่าหนี้บัตรเครดิตจะเยอะหน่อย ทำมาหากินก็ยาก แฟนก็ยังไม่มีเป็นตัวเป็นตนเหมือนคนอื่น หน้าท้องก็หนาขึ้น ๆ ความสุขลดน้อยลงแต่ว่าเรายังพอมีความสุขบ้าง ให้ดูคนอื่นที่แย่กว่า บางคนหน้าดำคร่ำเครียดตลอดเวลา บางคนนอนป่วยทำอะไรไม่ได้เลยแล้วจะดีใจที่เป็นตัวเรา อย่างน้อยก็ได้กินส้มตำอร่อย ๆ ได้ดูซีรีส์ ได้ใช้ความสามารถทำงาน มีครอบครัวคนที่รักเราและให้เรารัก มีเพื่อนฝูงและญาติมิตร ได้ไปเที่ยวต่างจังหวัด มีงานเลี้ยงมีปาร์ตี้ เราเข้านอนและเมื่อตื่นมาก็รอไม่ไหวที่จะใช้ชีวิตและทำสิ่งต่าง ๆ

อายุเยอะขึ้นความสุขก็น้อยลง แต่ใจเราต้องหนักแน่น อย่าไหลไปตามมันเพราะถ้าไม่พอใจเรื่องหนึ่งก็คิดไม่พอใจอีกเรื่องไม่สิ้นสุด เป็นวงจรของความหดหู่ หยุดคิดแล้วชื่นชมความสุขเล็ก ๆ ที่เรามีตอนนี้ดีกว่า ความสุขมันเก็บไว้ไม่ได้ วางแผนไม่ได้ ควบคุมไม่ได้ ความสุขคือตอนนี้เท่านั้น

5 ประโยชน์ของการมาสก์หน้า ผิวสวยสุขภาพดีง่ายกว่าที่คิด

การมาสก์หน้าเป็นวิธีง่ายที่สุดในการบำรุงผิวพรรณเร่งด่วนภายในไม่กี่นาที ผิวอ่อนนุ่มชุ่มชื้น ริ้วรอยความหมองและร่องลึกดูตื้นขึ้น การมาสก์หน้ามีหลายรูปแบบตอบโจทย์สภาพผิวและอายุที่แตกต่างกันของแต่ละคน มีอุปกรณ์มาสก์หน้าหลากหลายทั้งวัตถุดิบธรรมและแผ่นมาสก์สำเร็จรูป ซึ่งปกติแล้วใช้เวลาระหว่าง 15-20 นาที แล้วล้างออก บางชนิดมาสก์หน้าแล้วไปนอนได้เลย มาดูประโยชน์ของการบำรุงผิวหน้าด้วยวิธีนี้กัน

1.เพิ่มความชุ่มชื้น ผิวอิ่มน้ำมีสุขภาพดี ผลิตภัณฑ์มาสก์หน้าเติมความชุ่มชื้นเข้าสู่ชั้นหนังกำพร้า บำรุงผิวแห้งให้อ่อนนุ่มและยืดหยุ่น เวลาเปลือยหน้าสดผิวดูอิ่มเอิบและอ่อนกว่าวัย ผิวฉ่ำชุ่มชื้น ช่วยให้แต่งหน้าง่ายไม่ต้องโบกเครื่องสำอางมาก ได้ลุคสวยใสดูสุขภาพดี ก่อนขั้นตอนการมาสก์ควรทำความสะอาดใบหน้าล้างสิ่งสกปรก ใช้ผ้าขนหนูนุ่ม ๆ ซับผิวให้แห้งเบา ๆ กระตุ้นให้เซลล์ผิวซึมซับวิตามินและสารบำรุงผิวอย่างเต็มที่

2.รูขุมขนกระชับขึ้น การมาสก์หน้าเป็นประจำช่วยจัดการปัญหาของผิว ไม่ว่าจะเป็นการขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้ว ควบคุมความมัน ทำความสะอาดรูขุมขนอย่างล้ำลึก ล้างสิ่งสกปรกและเครื่องสำอางที่ตกค้างในรูขุมขนที่เป็นสาเหตุของสิวอุดตัน ผิวหน้าสะอาดและรูขุมขนกระชับขึ้น ก่อนทำการมาสก์หน้าใช้โทนเนอร์เช็ดและตบเบา ๆ ช่วยปรับสมดุลของผิวและเปิดรูขุมขนให้กว้างเพื่อเตรียมความพร้อมให้ผิวได้รับสารบำรุงจากแผ่นมาสก์หน้าอย่างเต็มที่

3.ลดเลือนริ้วรอยและร่องลึก การใช้เป็นประจำสามารถลดสัญญาณแห่งวัยได้ เช่น ริ้วรอย ร่องลึก และจุดสีน้ำตาลเป็นต้น นอกจากนี้ คุณยังจะได้เพลิดเพลินไปกับผิวสัมผัสที่นุ่มนวลและเรียบเนียนยิ่งขึ้น หลังใช้แผ่นมาสก์หน้า ผิวได้รับการฟื้นบำรุงอย่างล้ำลึก ช่วยลดเลือนริ้วรอยและร่องลึก ปรับผิวอย่างอ่อนโยน ผิวชุ่มชื้นดูอ่อนเยาว์ขึ้น

4.สีผิวสม่ำเสมอ การมาสก์หน้าช่วยฟื้นบำรุงผิวที่ถูกทำร้ายจากรังสียูวี ผิวหน้าชุ่มชื้นและยับยั้งการสร้างเมลานินเม็ดสีผิว ช่วยแก้ปัญหาผิวคล้ำเสียสะสมและสีผิวไม่สม่ำเสมอ ปรับสีผิวดูกระจ่างใส จุดด่างดำกวนใจดูจางลงเมื่อใช้เป็นประจำ

5.บำรุงโครงสร้างผิวหน้าให้แข็งแรงมีสุขภาพดี มาสก์หน้าช่วยฟื้นคืนคอลลาเจนในชั้นผิวและต่อต้านอนุมูลอิสระ ส่งผลให้ผิวกระชับตึงชะลอการเกิดริ้วรอย ยกกระชับผิวให้ดูเต่งตึงเนียนเรียบยิ่งขึ้น และเติมความชุ่มชื้นให้ผิวเปล่งปลั่งและอ่อนกว่าวัย

การมาสก์หน้าเป็นเรื่องสะดวกง่ายดายและให้ประโยชน์มากมาย เป็นอีกหนึ่งขั้นตอนที่คนรักผิวพลาดไม่ได้เพื่อกู้ผิวหน้าที่หย่อนคล้อยขาดความยืดหยุ่น ขาดความชุ่มชื้นและหมองคล้ำด้วยวัยที่เพิ่มขึ้น ให้กลับมาอิ่มฟูดูกระชับและอ่อนเยาว์ยิ่งขึ้น ใครไม่ชอบรอนานสามารถเลือกแผ่นมาสก์หน้าเข้มข้นแบบฟื้นฟูผิวเร่งด่วนใช้เวลาไม่ถึง 10 นาทีเท่านั้น ผิวนุ่มเนียนขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แนะนำให้ใช้ 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ตามสภาพผิว

เคล็ดลับดูแลสุขภาพในยุคโควิด-19 ระบาดหนัก

ท่ามกลางการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด -19 คนเราเห็นว่าสุขภาพเป็นสิ่งสำคัญยิ่งกว่าที่เคยเป็นมา แม้จะทำงานหาเงินมาเก็บไว้มากมาย แต่ถ้าใครลองได้ล้มหมอนนอนเสื่อแล้ว เงินมากเท่าไรก็ไม่มีความหมาย ถึงเวลาพร้อมปรับเปลี่ยนพฤติกรรมใหม่สร้างนิสัยที่ดีต่อสุขภาพ รับประทานอาหารสดใหม่และมีประโยชน์ วางแผนออกกำลังกายมากขึ้น นอนพักผ่อนให้เพียงพอ อย่าลืมข้อสำคัญที่สุดคือป้องกันตัวเองอย่างเคร่งครัด เพื่อลดความเสี่ยงการติดเชื้อโควิด-19 โดยเรามีเคล็ดลับมาแนะนำดังต่อไปนี้

1.กินอาหารมีประโยชน์
ร่างกายแข็งแรงเป็นเกราะป้องกันโรคภัยไข้เจ็บ ทุกเมนูควรมีสารอาหารครบหมู่ รับประทานผักมากขึ้น ผักผลไม้อุดมด้วยแร่ธาตุวิตามิน และกรดอะมิโน ช่วยให้ร่างกายปรับสมดุลของระดับน้ำตาลในเลือด คืนพลังความสดชื่น ลองกินอาหารจากพืชและงดเนื้อสัตว์อย่างน้อยสองมื้อต่อสัปดาห์ แนะนำว่าควรเน้นโปรตีนในมื้อเช้า กินแล้วหนักท้อง ช่วยควบคุมความอยากอาหารตลอดทั้งวัน หลีกเลี่ยงเนื้อแดง หันมารับประทานปลา ผลไม้ ผัก และพืชตระกูลถั่วล้วนอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพหัวใจและสุขภาพโดยรวม ควรลดการบริโภคน้ำตาลโดยเฉพาะน้ำเชื่อมที่มีฟรุกโตสสูง เพราะการบริโภคน้ำตาลมากเกินไปอาจกลายเป็นสาเหตุของโรคอ้วน โรคเบาหวาน ไขมันในตับ โรคหัวใจและหลอดเลือด และมะเร็ง

2.ออกกำลังกายเป็นประจำ
ทุกคนรู้ดีว่าการออกกำลังกายนั้นดีต่อสุขภาพร่างกายและจิตใจให้แข็งแรงพร้อมต่อสู้โรคภัย ช่วยคลายความเครียดและลดอาการซึมเศร้า ในช่วงที่มีการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 เราควรเล่นกีฬาหรือทำกิจกรรมเสริมสร้างกล้ามเนื้ออย่างน้อย 2 วันต่อสัปดาห์ หากเล่นกีฬาไม่สะดวก ลองพิจารณาวิธีออกกำลังกายอย่างใดอย่างหนึ่งต่อไปนี้

  • แอโรบิก อย่างน้อยวันละ 20 นาที
  • เดินอย่างน้อย 30 นาที สัปดาห์ละ 2 วัน
  • ยกน้ำหนักระหว่างดูทีวี 30 นาที
  • กระโดดเชือกเป็นเวลา 15 นาที หลังตื่นและเวลาเย็น

การออกกำลังกายไม่จำเป็นต้องยุ่งยาก ไม่ต้องมีอุปกรณ์ใด ๆ แค่วิดพื้น ลุกนั่งอย่างรวดเร็ว เล่นโยคะ ช่วยลดอาการปวดเมื่อยจากการนั่งหลังขดหลังแข็งที่โต๊ะทำงานเป็นเวลานาน ๆ ควรลุกขึ้นจากโต๊ะทำงาน 2-3 ต่อชั่วโมง เดินยืดเส้นยืดสายไปรอบ ๆ ส่งผลดีต่อสุขภาพกระดูกสันหลังในระยะยาว

3.นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
การแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้หลายคนเครียด วิตกกังวลและนอนไม่ค่อยหลับ จำเป็นต้องปรับเวลาการนอนให้ได้อย่างน้อย 7-8 ชั่วโมงต่อคืน เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงและดีต่อสุขภาพ หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์และคาเฟอีนในช่วงเย็น หลีกเลี่ยงการงีบหลับระหว่างวัน

สถานการณ์ในปัจจุบันนี้ยังคงต้องป้องกันตัวเอง การ์ดอย่าตก ทุกคนยังจำเป็นต้องระมัดระวังตัวจากการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 และไข้หวัดใหญ่ โดยการสวมหน้ากากอนามัย ล้างมือบ่อย ๆ เว้นระยะห่างจากผู้อื่นอย่างน้อย 2 เมตร หลีกเลี่ยงฝูงชนและการชุมนุมจำนวนมาก และอยู่บ้านเมื่อรู้สึกไม่สบาย โดยเด็กเล็ก ผู้สูงวัย ผู้ที่มีภูมิต้านทานอ่อนแอ และหญิงตั้งครรภ์ควรป้องกันตนเองในช่วงที่มีการแพร่ระบาดจากไข้หวัดและเชื้อโรคร้ายแรงต่าง ๆ

เตือนภัย พฤติกรรมตั้งนาฬิกาปลุกติด ๆ กันทำลายสุขภาพโดยไม่รู้ตัว

เชื่อว่าหลายคนที่กำลังอยู่ในวัยเรียนและวัยทำงานมักจะชอบตั้งนาฬิกาปลุกตอนเช้ากันแทบทุกคน เพื่อป้องกันไม่ให้ไปเรียนหรือไปทำงานสาย แต่หลายคนไม่ได้ตั้งเวลาปลุกเพียงแค่ครั้งเดียว แต่มักตั้งปลุกถี่ ๆ หลายรอบห่างกันครั้งละ 5 นาทีบ้าง 10 นาทีบ้าง เพื่อให้ไม่เผลอตื่นขึ้นมากดปิดแล้วนอนต่อจนตื่นสายนั่นเอง ซึ่งพฤติกรรมดังกล่าวเรียกว่า “Snooze” อย่างไรก็ตาม พฤติกรรม Snooze นี้ ส่งผลเสียต่อร้ายต่อร่างกายและระบบการทำงานของสมองได้มากกว่าที่หลายคนคิด ดังนั้น วันนี้เราจึงจะมาเตือนภัย พฤติกรรมตั้งนาฬิกาปลุกติด ๆ กัน ว่าสามารถทำลายสุขภาพโดยไม่รู้ตัว

Snooze ส่งผลเสียต่อสุขภาพอย่างไร?

ปกติแล้ว ระบบการทำงานของอวัยวะต่าง ๆ ภายในร่างกายล้วนมีเวลาทำงานและพักผ่อนในตัวของมันเอง ซึ่งตัวที่ทำหน้าที่เป็นเหมือน “สวิตช์” เปิด-ปิดการทำงานนี้ก็คือ “ฮอร์โมน” ต่าง ๆ ที่ร่างกายผลิตออกมาในช่วงเวลาที่แตกต่างกัน เช่น ในตอนกลางคืน ร่ายกายของเราจะหลั่งฮอร์โมนชนิดหนึ่งเรียกว่า “เมลาโทนิน” (Melatonin) เพื่อช่วยในการนอนหลับ ซึ่งก่อนที่เราจะตื่นมาในเช้าวันใหม่ราว 1 ชั่วโมง ร่างกายก็จะค่อย ๆ ปรับตัวด้วยการลดฮอร์โมน เมลาโทนิน และเพิ่มการหลั่งฮอร์โมน “คอร์ติซอล” (Cortisol) ที่เป็นเหมือนตัวกระตุ้นการทำงานของทุกส่วนในร่ายกายให้เตรียมพร้อมที่จะตื่นมาทำงานอย่างเต็มที่ ดังนั้น หากไม่มีอะไรผิดพลาดหรือเกิดความผิดปกติ ร่างกายของเราก็จะทำงานตามเวลาอย่างเป็นระบบ ซึ่งส่งผลดีต่อสุขภาพ แต่ทว่าพฤติกรรมการตั้งนาฬิกาปลุกถี่ ๆ ในตอนเช้า ที่เรียกว่า Snooze จะทำลายวงจรการทำงานของร่ายกายที่ว่านี้ เนื่องจากการที่เราตื่นขึ้นแล้วกลับไปนอนต่อแล้วก็ตื่นขึ้นมาอีกซ้ำ ๆ หลายครั้งในระยะเวลาสั้น ๆ จะทำให้ร่างกายของเราไม่สามารถปรับตัวได้ทัน จนการหลั่งฮอร์โมนไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร จนบางครั้งร่างกายของเราอาจไม่ได้รับฮอร์โมน คอร์ติซอล ซึ่งเป็นสาเหตุทีทำให้หลายคนเมื่อตื่นนอนแล้วรู้สึกไม่สดชื่น ขาดความกระปรี้กระเปร่า ไม่มีสมาธิจดจ่อ บางครั้งก็ทำให้รู้สึกเหนื่อยและอ่อนเพลียระหว่างวันได้ง่ายกว่าปกติ

เพราะฉะนั้น หากเราต้องการมีสุขภาพที่ดีและมีการนอนที่สามารถช่วยส่งเสริมสุขภาพให้ดีขึ้น เราก็ควรเข้านอนและตื่นนอนให้เป็นเวลา ไม่เว้นแม้แต่วันหยุด ขอเพียงแค่เราปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอจนร่างกายคุ้นชินกับเวลานอนและตื่นนอนแล้ว เราก็แทบจะไม่จำเป็นต้องใช้นาฬิกาปลุกในตอนเช้าอีกต่อไป เพราะร่างกายจะตื่นเองโดยธรรมชาติ แถมยังรู้สึกสดชื่น กระปรี้กระเปร่า มีพลังในการดำเนินชีวิตในแต่ละวันอีกด้วย ต่อให้การดูบอลเมื่อคืนอาจเลยเวลาเข้านอนปรกติของเรา แต่หากร่างกายคุ้นชินกับเวลาตื่นนอนแล้วก็จะไม่มีปัญหากับร่างกายแน่นอน

ผลไม้ป้องกันหวัดที่ควรกินช่วงฤดูฝนมีอะไรบ้าง

ปัจจุบันประเทศไทยอยู่ในช่วงฤดูฝนกำลังเข้าสู่ฤดูหนาว ซึ่งมีตัวเลขสถิติผู้ป่วยเป็นไข้หวัดมากขึ้นจากสภาวะอากาศที่เปลี่ยนแปลงบ่อย ผู้เชี่ยวชาญทางด้านสุขภาพจึงแนะนำให้ทุกคนรับประทานผลไม้ที่มีคุณสมบัติที่มีสรรพคุณในการป้องกันหวัดมากขึ้นเพื่อให้สุขภาพแข็งแรงห่างไกลจากโรคนี้ ซึ่งหาได้ง่ายในทุกตลาด ราคาไม่แพง รสชาติอร่อย เรามาดูกันว่ามีผลไม้อะไรบ้าง

1.มะขามป้อม
เราเคยเห็นมะขามป้อมอยู่ในสูตรยาแก้ไอ ที่จริงแล้วมะขามป้อมรับประทานแบบสดยิ่งดีต่อสุขภาพ เพราะสามารถใช้ในการป้องกันหวัดได้ โดยมีการศึกษาพบว่ามะขามป้อมมีปริมาณวิตามินซีสูงมากถึง 276 มิลลิกรัมต่อน้ำหนัก 1 ขีด หากนำไปต้มแล้วคั้นน้ำจะทำให้ได้รับวิตามินซีที่สูงมากกว่าการดื่มน้ำส้ม 20 เท่าเลยทีเดียว นอกจากนี้ ยังมีสารที่ช่วยกระตุ้นภูมิต้านทานของร่างกาย ละลายเสมหะ ทำให้ชุ่มคออีกด้วย

2.มะยม
มะยมเป็นผลไม้ที่มีรสเปรี้ยวฝาด แต่มีประโยชน์มากในการป้องกันหวัด เนื่องจากมีปริมาณวิตามินซีสูง ทั้งยังมีสารต้านอนุมูลอิสระเช่นเดียวกับเบอร์รี่และส้ม นอกจากนี้ ยังใช้เป็นยาระบายได้ด้วยสำหรับคนที่ท้องผูกบ่อย โดยสามารถรับประทานได้ทั้งมะยมสดจิ้มเกลือ มะยมแช่อิ่ม ยำมะยม ส้มตำมะยม ฯลฯ

3.ลิ้นจี่
ลิ้นจี่เป็นผลไม้รสเปรี้ยวหวานที่มีการวิจัยพบว่ามีวิตามินซีสูงและมีสารต้านอนุมูลอิสระที่สำคัญ เช่น กรดปาล์มิติก กรดโอเลอิกและกรดลิโนเลอิก ที่ช่วยรักษาสมดุลการทำงานของระบบต่าง ๆ ในร่างกาย หากรับประทานเป็นประจำ จะช่วยป้องกันหวัดและช่วยชะลอวัยได้

4.ฝรั่ง
ฝรั่งเป็นผลไม้ที่มีปริมาณวิตามินซีสูง แม้ไม่มีรสเปรี้ยวอย่างส้ม ลิ้นจี่ มะยม โดยฝรั่ง ปริมาณ 1.5 ขีดให้วิตามินซีสูงมากกว่า 350 มิลลิกรัม ซึ่งถือได้ว่ามากกว่าส้มเขียวหวานถึง 5 เท่าเลยทีเดียว ทั้งนี้ ในฝรั่งยังมีไฟเบอร์ธรรมชาติปริมาณสูง และมีสารที่มีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียแก้อักเสบได้อีกด้วย

5.มะนาว
มะนาวถือเป็นพืชผักสวนครัวและสมุนไพรที่คนไทยนิยมนำมาประกอบอาหาร เช่น ต้มยำกุ้ง ยำ พล่า ฯลฯ หรือทำเป็นเครื่องดื่ม เช่น น้ำมะนาวคั้นสด ซึ่งเหมาะกับการรับประทานบ่อย ๆ ในช่วงฤดูฝน เนื่องจากมีวิตามินซีและสารต้านอนุมูลอิสระสูง จึงป้องกันอาการเป็นหวัดได้

6.แตงโม
เป็นผลไม้ต้านหวัดที่มีเกลือแร่สำคัญอย่างแมกนีเซียมและโพแทสเซียมในปริมาณสูง ทั้งยังมีสัดส่วนน้ำในเนื้อผลไม้มาก จึงช่วยลดอาการไข้ ดับกระหาย ปรับสมดุลแร่ธาตุในระบบต่าง ๆ ได้ดี อย่างไรก็ตาม หากจะกินเวลาค่ำ ๆ ก็ควรกินห่างจากเวลาเข้านอนสัก 3 ชั่วโมง เพื่อไม่ให้มีปัญหาตื่นมาเข้าห้องน้ำกลางดึก

ผลไม้ที่กล่าวมาล้วนมีสรรพคุณในการต้านหวัดเพราะมีวิตามินซี แร่ธาตุและสารต้านอนุมูลอิสระ จึงช่วยเสริมสร้างสุขภาพที่ดี ควรรับประทานเป็นประจำควบคู่กับการดูแลสุขภาพด้วยวิธีอื่น ๆ เช่น ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และพักผ่อนให้เพียงพอ ก็จะห่างไกลโรคหวัดในช่วงฤดูฝนได้

4 เหตุผลที่การออกกำลังกายช่วยห่างไกลโรคร้ายได้

การออกกำลังกายช่วยป้องกันโรคร้ายได้จริง ไม่ว่าจะเป็นโรคที่เกี่ยวข้องกับหัวใจ สมอง หลอดเลือด ไขมัน กระดูก เป็นต้น โดยเฉพาะคนที่มีอายุมากขึ้น ย่อมมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคต่าง ๆ ได้ง่ายมากกว่าคนอายุน้อย เพราะว่าร่างกายเสื่อมสภาพตามกาลเวลา ด้วยเหตุนี้ เราจึงมาบอก 4 เหตุผลว่าทำไมการออกกำลังกายช่วยป้องกันโรคร้ายได้ ไม่ว่าคุณจะอยู่ในวัยไหน การออกกำลังกายอย่างเหมาะสม ย่อมก่อให้เกิดประโยชน์ ดังนี้

1.กระบวนการทำงานของระบบอวัยวะภายในร่างกายดีขึ้น

อวัยวะภายในร่างกายเป็นระบบที่ซับซ้อนและมีความสำคัญ การออกกำลังกายจะช่วยปรับสมดุลอวัยวะภายในร่างกายโดยรวมได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น ลดแก๊สในกระเพาะอาหาร นวดอวัยวะภายในโดยรวมของช่องท้อง เพิ่มระดับการไหลเวียนโลหิต ส่งเสริมการทำงานของหัวใจให้มีความแข็งแรง เป็นต้น

2.กระตุ้นระบบการทำงานของสมอง

ความเครียดส่งผลต่อสมองทำให้เกิดโรคที่เกี่ยวกับสมองได้ โดยเฉพาะความจำเสื่อมหรือที่เรียกว่า โรคอัลไซเมอร์ และความเครียดยังเป็นสาเหตุที่ทำให้มีโอกาสเป็นโรคร้ายแรง รวมไปถึงโรคแทรกซ้อนเนื่องจากทุกครั้งที่เครียด สารคอลติซอลก็จะหลั่งออกมาจนทำให้บางคนหันไปคลายเครียดด้วยการสูบบุหรี่ซึ่งจะมีสารก่อมะเร็งหรือพึ่งยาเสพติดอื่น ๆ ที่ส่งผลทำลายสมอง เพราะฉะนั้น เมื่อเกิดความเครียด ควรใช้วิธีออกกำลังกายจะดีกว่า เพื่อให้ร่างกายเกิดการเคลื่อนไหว และได้ขับเหงื่อออกมา เกิดการกระตุ้นสมองและระบบประสาท ทำให้มีจิตใจแจ่มใสมีความสุข ลดภาวะความเครียดได้ดี

3.ปรับสมดุลของกระดูก

ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มมวลแคลเซียมกระดูกสันหลัง สะโพก และยังช่วยกระตุ้นกระดูกป้องกันไม่ให้เป็นโรคกระดูกพรุน กระดูกกร่อน กระดูกบาง มะเร็งกระดูก ซึ่งปัญหาเรื่องกระดูกมีความเสี่ยงหรือเป็นอันตรายได้เมื่อมีการขยับร่างกาย ไม่ว่าจะเดิน วิ่ง ลุก นั่ง นอน

4.เพิ่มความยืดหยุ่นทุกส่วนให้กับร่างกาย

ปัญหาความยืดหยุ่นมักจะเกิดกับคนที่มีอายุมาก ไม่ว่าจะเป็นปัญหาอวัยวะส่วนคอ หลัง เอว ข้อ ขา ซึ่งจะมีความรู้สึกปวดไปหมด เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ผู้คนเริ่มสนใจการออกกำลังกาย สังเกตได้จากฟิตเนสที่มีคนเข้าไปเพื่อดูแลสุขภาพเป็นจำนวนมาก หรือเต้นแอโรบิกตามสนามกีฬาต่าง ๆ จนเกิดการตั้งชมรมออกกำลังกายเพื่อป้องกันไม่ให้กล้ามเนื้ออ่อนแรง

การออกกำลังกายช่วยป้องกันโรคร้ายได้ หากได้ออกกำลังกายอย่างถูกวิธี หมายความว่า ไม่ควรหักโหมมากจนเกินไป และก่อนนอน 2 ชั่วโมง ไม่ควรออกกำลังกาย โดยควรออกกำลังกายในช่วงท้องว่างหรือหลังจากที่ได้รับประทานอาหารไปแล้ว 2 ชั่วโมง ที่สำคัญให้บริหารร่างกายเป็นประจำ แล้วร่างกายก็จะค่อย ๆ ปรับตัวจนเกิดความเคยชินโดยอัตโนมัติ และจะรู้สึกว่าการออกกำลังกายเป็นส่วนหนึ่งในกิจวัตรประจำวันที่จำเป็นไม่แพ้เรื่องอื่น ๆ ในชีวิต

How to สุขภาพจิตดีได้ ด้วยการคิดบวก จนใคร ๆ ก็อยากอยู่ใกล้คุณ

ความคิดลบเป็นเรื่องธรรมดาที่จะเกิดขึ้นได้กับทุกคน แต่เมื่อรู้ตัวเองว่ามีความคิดลบ ให้คุณยอมรับแล้วเปลี่ยนจากความคิดลบให้กลายเป็นคนคิดบวกได้ ด้วย How to การคิดบวก ที่เรากำลังจะกล่าวถึง แล้วคุณจะได้มีสุขภาพจิต สุขภาพกายใจ ดีได้ จนใคร ๆ ก็อยากอยู่ใกล้คุณ ซึ่งมีอะไรบ้าง มาดูกัน

วิธีทำให้สุขภาพจิตดี

ไม่จมกับเหตุการณ์ไม่ดีในอดีต เมื่อไหร่ที่มีความคิดลบในอดีตผุดขึ้นมาในหัว ให้คุณคิดว่าชีวิตคนเรามันสั้น ซึ่งจะดีกว่าถ้ามีการลุกขึ้นแล้วเดินก้าวต่อไปข้างหน้าหรือไม่มีการถอยหลัง เนื่องจากไม่ว่าจะเป็นปัญหาอะไรก็ตาม เป็นสิ่งที่ใคร ๆ ก็ต้องเผชิญกันทั้งนั้นไม่มากก็น้อย ไม่ใช่เฉพาะคุณคนเดียว หากคุณเคยโดนทำร้ายจิตใจจากใครสักคนหนึ่งก็ให้ขอบคุณเขา อาจเป็นสิ่งที่ยากแต่ก็ทำได้ เพียงคุณเปลี่ยนมุมมองว่าได้เรียนรู้อะไรบ้างจากเขาที่ทำให้คุณเข้มแข็งหรือเก่งขึ้น เพราะฉะนั้น อย่ามัวคิดลบ เพราะจะทำให้เสียเวลา ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์เลย และเมื่อถึงคราวอำลาโลก ปัญหาทุกอย่างที่เกิดขึ้นก็ไม่ได้ติดตัวไปแม้แต่น้อย

ไม่กังวลกับอนาคต แต่ให้ดึงสติอยู่กับปัจจุบัน หากคุณเป็นคนหนึ่งที่ชอบมีความคิดลบไปปรุงแต่งในสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น คุณสามารถดึงสติให้อยู่ในปัจจุบันด้วยการนั่งสมาธิอยู่กับลมหายใจ เพียงสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ จากนั้นหายใจออกยาว ๆ หรือคุณจะหาใครสักคนที่รู้สึกไว้ใจแล้วระบายให้เขาฟัง แต่ถ้าไม่มีใครที่จะคอยรับฟัง คุณอาจจะเขียนระบายลงในกระดาษออกไปให้หมด แล้วความคิดลบก็จะจางหายไปเอง

ไม่คิดเปรียบเทียบกับคนอื่น การเปรียบเทียบ บ่งบอกถึงความคิดลบและจะทำให้คุณรู้สึกด้อยค่า ส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิต มีอาการหงุดหงิด โมโห และเมื่อมีความคิดลบสะสมมากขึ้น ก็จะทำให้นอนไม่หลับ ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ เพราะฉะนั้น ให้ขจัดความคิดลบได้ด้วยการใช้ชีวิตในแบบตัวเอง โดยไม่พยายามเป็นคนอื่นและไม่คิดว่าทำไมเขาหน้าตาดีกว่าเรา ทำไมเขาเรียนเก่งกว่าเรา ทำไมเขารวยกว่าเรา หรืออื่น ๆ

ไม่หวั่นไหวกับคำพูดลบของคนอื่น คำพูดดูถูกหรือคำด่าจากคนอื่นส่งผลทำให้เกิดความคิดลบ จิตใจห่อเหี่ยวได้ หากคุณไม่อยากหวั่นไหวคำพูดด้านลบของคนอื่นมากเกินไป คุณสามารถกำหนดคุณค่าของตนเองได้เอง ด้วยการหันมามองข้อดีพร้อมพัฒนาให้ดียิ่งขึ้นไป แบบไม่จำเป็นต้องพึ่งพาปัจจัยภายนอก เช่น ของแบรนด์เนม เครื่องประดับต่าง ๆ ที่มีราคาแพง เป็นต้น คำพูดของคนอื่นนั้น หากเป็นจริง ก็นำมาแก้ไขปรับปรุงตนเอง หากไม่จริง ก็ปล่อยวางทิ้งไปไม่เก็บมาคิดกังวล

เมื่อคิดบวกได้แล้ว คุณอาจจะจดบันทึกไว้ จากนั้นมาทบทวนก่อนนอนเป็นประจำในทุกวัน หรืออย่างน้อย 21 วัน ตามหลักจิตวิทยา เพื่อจะได้เป็นคนที่มองหาแต่สิ่งดี ๆ และมีชีวิตชีวามากขึ้นกว่าเดิม ซึ่งเป็นการแผ่พลังงานบวกไปยังคนที่อยู่รอบข้าง ทำให้คนรอบตัวได้รับความสุขและมีจิตใจที่สดใสไปด้วย นี่จึงเป็นเหตุผลที่เมื่อคุณมีสุขภาพจิตที่ดีแล้ว ใคร ๆ ก็อยากอยู่ใกล้คุณนั่นเอง

วิธีทำให้สุขภาพจิตดี

ไม่อยากเป็นโรคอ้วน ต้องกินอะไร

โรคอ้วนถือว่าเป็นปัญหาสุขภาพทั้งของคนไทยและคนทั่วโลกที่องค์การอนามัยโลก WHO ได้ออกคำเตือนให้กระทรวงสาธารณสุขทั่วโลก แนะนำประชาชนให้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหารให้ห่างไกลโรคอ้วนมากขึ้น

อาหารอะไรบ้าง ที่ไม่มีปัญหาโรคอ้วน

1. ข้าวกล้องและขนมปังธัญพืช

การรับประทานข้าวกล้อง จะทำให้ได้ส่วนของเส้นใยไฟเบอร์มากกว่าการกินข้าวขาว ซึ่งส่วนของเส้นใยนี้สำคัญต่อการทำให้อิ่มท้องเร็วขึ้น และช่วยให้การดูดซึมไขมันส่วนเกินจากอาหารน้อยลง หากชอบรับประทานขนมปังแซนวิชเป็นมื้อเช้า ก็แนะนำให้ใช้ขนมปังโฮลวีตแทนขนมปังสีขาวทั่วไป

2. ปลาทะเลน้ำลึก

ปลาทะเลน้ำลึกอย่างปลาแซลมอน หรือปลาทูน่า เป็นโปรตีนชนิดดีที่มีไขมันน้อย ทำให้ร่างกายลดจำนวนไขมันส่วนเกินเมื่อนำมาทำเมนูอาหารได้ ทั้งนี้แนะนำให้ใช้กรรมวิธีย่างแทนการทอด เพื่อหลีกเลี่ยงไขมันทรานส์ที่เป็นสาเหตุของโรคต่าง ๆ เช่น โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคอ้วน ฯลฯ หากเมนูอาหารของคุณทำจากเนื้อปลาแทนเนื้อแดง เช่น หมู วัว ได้มากขึ้น จะทำให้น้ำหนักตัวลดลงและรูปร่างดีขึ้นได้

3. ถั่วเหลือง

ถั่วเหลืองนับเป็นโปรตีนจากพืชธรรมชาติที่ดีต่อสุขภาพของทุกคนในครอบครัว ผู้ที่มีปัญหาการแพ้นมวัว เช่น ท้องอืด ท้องเสีย จากการขาดเอนไซม์ย่อยโปรตีนในนมวัว ก็สามารถดื่มเป็นนมถั่วเหลืองหรือน้ำเต้าหู้แทนได้ ซึ่งจะทำให้ควบคุมปริมาณพลังงานที่ร่างกายได้รับดีขึ้น นอกจากนี้ การรับประทานผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง เช่น เต้าหู้เป็นประจำ ยังช่วยเสริมฮอร์โมนและแคลเซียมให้แก่ผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนให้ลดความเสี่ยงปัญหาโรคกระดูกพรุนได้ด้วย

4. ดื่มน้ำเปล่า

การดื่มน้ำเปล่าเป็นสิ่งที่ดีต่ออวัยวะและเซลล์ร่างกาย โดยเฉพาะผู้ที่ต้องการลดน้ำหนัก เพราะกระบวนการเผาผลาญต้องมีการใช้น้ำ หากร่างกายขาดน้ำจะเสี่ยงต่อภาวะช็อกได้ นอกจากนี้ผู้ที่ออกกำลังกายบ่อย ๆ เพื่อลดความอ้วน ก็ต้องพกน้ำเปล่าติดตัวด้วย เพื่อลดการดื่มเครื่องดื่มเกลือแร่และน้ำหวานต่าง ๆ ที่แม้จะทำให้สดชื่น แต่ก็ทำให้ร่างกายได้รับน้ำตาลมากเกินจำเป็น

5. โยเกิร์ต

การรับประทานโยเกิร์ตก่อนนอนเป็นสิ่งที่ดีต่อระบบขับถ่าย และยังช่วยเพิ่มจุลินทรีย์ชนิดดีในลำไส้ ซึ่งจำเป็นต่อการดูดซึมสารอาหารดี ๆ ในมื้ออาหารหลักของคุณ ทั้งนี้ควรเลือกสูตรไม่มีไขมันและน้ำตาลน้อยด้วย

จะเห็นได้ว่า การเลือกรับประทานอาหารที่ดีเป็นสิ่งที่ทุกคนเริ่มทำได้ เพื่อให้ตัวคุณเองและสมาชิกในครอบครัวห่างไกลจากโรคอ้วน เราหวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์ให้ทุกท่านตระหนักถึงความสำคัญของการรับประทานอาหารที่ดีมากขึ้นต่อไป

อาหารอะไรบ้าง ที่ไม่มีปัญหาโรคอ้วน