Tag: สาระน่ารู้

9วิธีการลดน้ำหนักที่ยั่งยืน

การลดน้ำหนักอย่างยั่งยืนเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตในระยะยาวซึ่งส่งเสริมนิสัยที่ดีต่อสุขภาพและความก้าวหน้าที่ค่อยเป็นค่อยไปและสม่ำเสมอ ต่อไปนี้เป็นกลยุทธ์บางประการสำหรับการลดน้ำหนักอย่างยั่งยืน

1.ตั้งเป้าหมายที่สมจริง: ตั้งเป้าหมายที่ทำได้จริงสำหรับการลดน้ำหนัก ตั้งเป้าที่จะลดน้ำหนักทีละน้อย 1-2 ปอนด์ต่อสัปดาห์ ซึ่งถือว่าปลอดภัยและยั่งยืน หลีกเลี่ยงการตั้งความคาดหวังที่ไม่สมจริงซึ่งอาจนำไปสู่ความคับข้องใจและความผิดหวัง

2.มุ่งเน้นไปที่โภชนาการ: รับประทานอาหารที่สมดุลและมีคุณค่าทางโภชนาการซึ่งรวมถึงอาหารทั้งชนิดที่หลากหลาย เช่น ผลไม้ ผัก โปรตีนไร้มัน เมล็ดธัญพืช และไขมันที่ดีต่อสุขภาพ จัดลำดับความสำคัญของอาหารที่มีสารอาหารหนาแน่นซึ่งให้วิตามิน แร่ธาตุ และไฟเบอร์ที่จำเป็น ในขณะเดียวกันก็ลดอาหารแปรรูป ของขบเคี้ยวที่มีน้ำตาล และไขมันที่ไม่ดีต่อสุขภาพให้เหลือน้อยที่สุด

3.ฝึกควบคุมสัดส่วน: ใส่ใจกับขนาดส่วนและหลีกเลี่ยงการกินมากเกินไป ใช้จานที่เล็กกว่า วัดขนาดที่จะเสิร์ฟ และคำนึงถึงสัญญาณความหิวและความอิ่มเพื่อป้องกันการบริโภคแคลอรี่มากเกินไป การรับประทานอาหารช้าๆ และลิ้มรสอาหารสามารถช่วยให้คุณรู้สึกพอใจกับปริมาณที่น้อยลงได้

4.รักษาความชุ่มชื้น: ดื่มน้ำปริมาณมากตลอดทั้งวันเพื่อรักษาความชุ่มชื้นและสนับสนุนการทำงานของร่างกาย บางครั้งความกระหายอาจถูกเข้าใจผิดว่าเป็นความหิว ดังนั้นการดื่มน้ำให้เพียงพออาจช่วยป้องกันการรับประทานอาหารว่างและการกินมากเกินไปโดยไม่จำเป็น จำกัดเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลและเลือกดื่มน้ำ ชาสมุนไพร หรือน้ำผสมแทน

5.การออกกำลังกายเป็นประจำ: รวมการออกกำลังกายเป็นประจำเข้ากับกิจวัตรของคุณเพื่อสนับสนุนการลดน้ำหนักและปรับปรุงสุขภาพโดยรวม ตั้งเป้าผสมผสานการออกกำลังกายแบบแอโรบิก (เช่น การเดิน วิ่ง ปั่นจักรยาน) และการฝึกความแข็งแกร่งเพื่อเผาผลาญแคลอรี สร้างกล้ามเนื้อ และเพิ่มการเผาผลาญ ค้นหากิจกรรมที่คุณชอบและทำให้เป็นส่วนหนึ่งของตารางงานของคุณเป็นประจำ

6.ฝึกการกินอย่างมีสติ: ใส่ใจกับนิสัยการกินของคุณและฝึกฝนเทคนิคการกินอย่างมีสติ ทานอาหารให้ช้าลง เคี้ยวอาหารให้ละเอียด และลิ้มรสชาติและเนื้อสัมผัส ฟังสัญญาณความหิวและความอิ่มของร่างกาย และหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารเนื่องจากความเบื่อ ความเครียด หรือสิ่งกระตุ้นทางอารมณ์

7.นอนหลับให้เพียงพอ: จัดลำดับความสำคัญของการนอนหลับที่มีคุณภาพซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามลดน้ำหนักของคุณ ตั้งเป้านอนหลับ 7-9 ชั่วโมงต่อคืน เนื่องจากการนอนไม่เพียงพออาจรบกวนสมดุลของฮอร์โมน เพิ่มความหิวและความอยากอาหาร และส่งผลเสียต่อระบบเผาผลาญและระดับพลังงาน สร้างกิจวัตรการเข้านอนที่ผ่อนคลายและกำหนดตารางการนอนหลับที่สอดคล้องกัน

8.จัดการความเครียด: ค้นหาวิธีที่ดีต่อสุขภาพในการจัดการกับความเครียด เนื่องจากความเครียดเรื้อรังอาจทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นและเป็นอุปสรรคต่อการลดน้ำหนักได้ ฝึกเทคนิคการผ่อนคลาย เช่น การหายใจลึกๆ การทำสมาธิ โยคะ หรืองานอดิเรกที่จะช่วยให้คุณผ่อนคลายและลดระดับความเครียด

9.ขอการสนับสนุน: ล้อมรอบตัวคุณด้วยเครือข่ายเพื่อน ครอบครัว หรือกลุ่มลดน้ำหนักที่สามารถให้กำลังใจ ความรับผิดชอบ และแรงจูงใจตลอดการเดินทางของคุณ แบ่งปันเป้าหมายและความท้าทายของคุณกับผู้อื่น และเฉลิมฉลองความสำเร็จด้วยกัน

การนำการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตที่ยั่งยืนเหล่านี้มาใช้ จะช่วยให้คุณลดน้ำหนักได้อย่างค่อยเป็นค่อยไปและยั่งยืน ในขณะเดียวกันก็ปรับปรุงสุขภาพและความเป็นอยู่โดยรวมของคุณให้ดีขึ้นด้วย โปรดจำไว้ว่าความสม่ำเสมอและความอดทนเป็นกุญแจสำคัญ และมุ่งเน้นไปที่การเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ ที่สามารถจัดการได้ ซึ่งคุณสามารถรักษาไว้ได้ในระยะยาว

5 นิสัยดีที่ทำให้น้ำหนักลงโดยไม่ทันรู้ตัว

การลดน้ำหนักจำเป็นต้องพึ่งพาวินัยในหลายด้าน ทั้งการควบคุมปริมาณอาหารและการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ แต่สำหรับมือใหม่ที่เพิ่งเริ่มต้นอาจจะยังไม่สามารถหักโหมลดปริมาณอาหารได้อย่างกะทันหัน เพราะจะส่งผลให้หิวจัดและทานมากเกินไปจนโยโย่ ดังนั้นการเริ่มต้นด้วยการปรับทัศนคติของตนเองจะทำให้การลดน้ำหนักทำได้อย่างยั่งยืนมากกว่า ลองทำตาม 5 เรื่องที่ทำได้ทุกวันเหล่านี้ให้เป็นนิสัยดูสิ

  1. ดื่มน้ำให้เพียงพอ

สถาบันวิทยาศาสตร์แห่งชาติแนะนำให้ผู้ชายดื่มน้ำประมาณ 3.7 ลิตรต่อวัน และผู้หญิงประมาณ 2.7 ลิตรต่อวัน ถ้าสามารถทำได้ ระบบต่าง ๆ ในร่างกายจะสามารถทำงานได้เต็มที่ โดยเฉพาะระบบย่อยอาหารและระบบขับถ่าย นอกจากนั้นยังมีคำแนะนำให้ผู้ที่ต้องการลดน้ำหนัก ดื่มน้ำก่อนทานอาหารแต่ละมื้อประมาณ 30 นาที จะช่วยทำให้ไม่รู้สึกโหยจนทานอาหารมากเกินไป

  1. นอนหลับอย่างมีคุณภาพทุกวัน

การนอนหลับไม่เพียงพอส่งผลให้การทำงานของฮอร์โมนในร่างกายรวน และทำให้ระบบเผาผลาญทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ จนมีแคลอรีสะสมมากโดยไม่รู้ตัว นอกจากนั้นยังทำให้รู้สึกหิวมากขึ้น จนอาจทานอาหารมากเกินความจำเป็นในแต่ละวัน ดังนั้นคนที่อยากควบคุมน้ำหนัก ควรนอนหลับให้ได้อย่างน้อยวันละ 6 ชั่วโมงจึงจะเพียงพอกับความต้องการของร่างกาย

  1. ทำอาหารด้วยตัวเอง

การทำอาหารด้วยตัวเองจะทำให้สามารถเลือกประเภทของอาหาร ควบคุมปริมาณน้ำตาล โซเดียม และน้ำมันได้ง่าย ซึ่งจะส่งผลดีต่อการลดน้ำหนักเป็นอย่างมาก เพราะการควบคุมปริมาณแคลอรีจะทำได้ง่ายขึ้นด้วย ดังนั้นลองวางแผนการซื้อวัตถุดิบและวางแผนการทำอาหารให้เป็นระบบ จะทำให้น้ำหนักลดลงอย่างแน่นอน

  1. พิถีพิถันในการเคี้ยวอาหาร

การเคี้ยวอาหารให้ละเอียดส่งผลให้ร่างกายย่อยอาหารได้ดีขึ้น ซึ่งสร้างผลลัพธ์ทางบวกต่อระบบย่อยอาหารและระบบเผาผลาญ นอกจากนั้นการทานอาหารเร็วเกินไป จะทำให้กินมากเกินกว่าที่ร่างกายต้องการ เพราะกว่าจะรู้สึกอิ่มกลับทานมากไปโดยไม่รู้ตัว ดังนั้นควรเคี้ยวอาหารให้ได้ประมาณ 15 ครั้งต่อ 1 คำ จะช่วยให้ลดน้ำหนักได้ดีขึ้น

  1. ทานอาหารในจานขนาดเล็ก

การทานอาหารในจานขนาดเล็กเป็นหลักการทางจิตวิทยาที่ทำให้รู้สึกว่าอาหารที่อยู่ในจานมีปริมาณมากกว่าปกติ และทำให้คิดว่าทานอาหารไปเยอะแล้ว ทำให้รู้สึกอิ่มนานขึ้น จึงลดการกินจุกจิกและลดการตักอาหารเพิ่มมากเกินไปโดยไม่รู้ตัว ดังนั้นลองหันมาใช้จานขนาดเล็กบรรจุอาหาร จะสามารถไปถึงเป้าหมายในการลดน้ำหนักได้ไวขึ้น

พฤติกรรมเล็ก ๆ เหล่านี้ส่งผลต่อตัวเลขบนตาชั่งมากกว่าที่ทุกคนคิด ถ้าใครกำลังมีความตั้งใจจะลดความอ้วน สามารถนำเทคนิคเหล่านี้ไปปรับใช้ได้ในชีวิตประจำวัน สิ่งที่ต้องจำไว้คืออย่าหักโหมเกินไป เพียงแค่ลงมือทำอย่างค่อยเป็นค่อยไป ค่อย ๆ ทำตามเป้าหมายอย่างต่อเนื่อง จะสามารถสร้างหุ่นในฝันได้อย่างยั่งยืนกว่าอย่างแท้จริง

9 สาเหตุหน้าแก่ก่อนวัย

การใช้ชีวิตที่ขาดความรู้นำสู่การสร้างโรคและทำร้ายร่างกายให้เสื่อมก่อนวัยอันควร หน้าแก่ก่อนวัยก็เป็นอีกหนึ่งปัญหาใหญ่ของหนุ่มสาว อะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้ความแก่มาเยือนผิวหน้าก่อนถึงเวลาอันควร ไปดูกัน 

  1. ตากแดดจัดขาดการปกป้อง 

เพราะแสงแดดมีรังสี UV, UVB ที่เป็นสาเหตุให้เกิดอนุมูลอิสระ ทำให้ผิวคล้ำเสีย เกิดฝ้า กระ จุดด่างดำ รอยเหี่ยวย่น ในคนที่ต้องทำงานกลางแจ้ง มีโอกาสสัมผัสแดดบ่อย ๆ จำเป็นต้องใช้ครีมกันแดดที่มี SPF 50 ขึ้นไป และควรเลี่ยงการสัมผัสช่วงแดดจัด 

  1. ดื่มน้ำน้อย 

ร่างกายมีน้ำเป็นส่วนประกอบถึง 70% เราควรทยอยดื่มน้ำให้ได้ 1.5-3 ลิตร/วัน เพื่อกระตุ้นระบบไหลเวียนของเลือด เพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว ลดการแตกแห้ง เป็นขุย ป้องกันผิวเหี่ยวย่น 

  1. ผิวแห้ง 

มีพฤติกรรมดื่มน้ำน้อย ล้างเครื่องสำอางไม่สะอาด ใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหน้าที่มีส่วนผสมขอแอลกอฮอล์ ขาดการใช้ครีมบำรุงผิว ล้างหน้าด้วยน้ำที่อุณหภูมิสูงเกินไป เช็ดผิวหน้ารุนแรง เป็นต้น

  1. ทานหวาน  

น้ำตาลตัวอันตรายเข้าไปเปลี่ยนโครงสร้างของคอลลาเจนเกิดการทำลายอีลาสตินซึ่งเป็นโปรตีนสร้างผิวกระชับและยืดหยุ่น ก่อให้เกิดอนุมูลอิสระ เร่งผิวหนังแห้ง มีริ้วรอยลึก หย่อนคล้อย องค์การอนามัยโลก (World Health Organization: WHO) แนะนำให้ผู้ใหญ่และเด็กบริโภคน้ำตาลไม่เกิน 6 ช้อนชา หรือ 24 กรัม/วัน ตัวอันตรายอันดับต้นๆ คือ น้ำอัดลม ในปริมาณ 450 มิลลิลิตร มีน้ำตาล 10.75 ช้อนชา และชานมไข่มุก ใน 350 มิลลิลิตร มีน้ำตาล 11.25 ช้อนชา เป็นต้น 

  1. นอนดึก-ท่านอนไม่เหมาะสม 

การนอนดึก นอนไม่เป็นเวลาจะสกัดกั้นการทำงานของโกรทฮอร์โมน (สร้างการเติบโต) ที่จะหลั่งมาทำหน้าที่ซ่อมแซม เร่งการเติบโตในช่วงเวลานอน (หลัง 4 ทุ่ม) ทำให้ผิวหน้าไม่ได้รับการซ่อมแซมตามธรรมชาติ นอกจากนี้ท่านอนคว่ำจะทำให้เกิดรอยย่นที่หน้าผากและแก้มได้ง่าย การนอนหงายจึงเป็นท่านอนที่เหมาะสมที่สุด 

  1. กินตอนดึก  ส่งผลให้เกิดการยับยั้งการหลั่งของฮอร์โมนต้านความแก่ คือ เมลาโทนิน 
  1. แต่งหน้าจัด ล้างไม่สะอาด 

ในเครื่องสำอางมีสารเคมีที่พร้อมทำลายผิว การใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่ไม่อ่อนโยนต่อผิว หรือล้างไม่สะอาดจะเกิดการตกค้างของสารเคมีทยอยทำร้ายผิวอย่างต่อเนื่อง 

  1. พฤติกรรมทำหน้าแก่ 

เช่น แสดงอารมณ์ผ่านใบหน้ามากเกินไปทำให้กล้ามเนื้อใต้ผิวหนังบนใบหน้าทำงานหนัก และทำให้เกิดริ้วรอยและร่องลึกได้ง่าย เช่น การขมวดคิ้ว เบะปาก, การเคี้ยวหมากฝรั่งนาน ๆ เช่น วันละ 20 นาทีทำให้เกิดรอยย่นรอบปาก

  1. การสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์ ตัวการสร้างอนุมูลอิสระ ยิ่งดื่มยิ่งสูบยิ่งแก่เร็ว

จะเห็นได้ว่าทั้ง 9 สาเหตุหน้าแก่ดังกล่าวข้างต้นเกิดจากพฤติกรรมประจำวันที่เราสร้างขึ้นมาทำลายผิวหน้าของเราเองทั้งสิ้น เพียงใส่ใจ ลด ละ เลิก ป้องกัน ดูแล ปัจจัยเสี่ยงที่พร้อมทำลายผิวพรรณเหล่านี้ ก็สามารถให้สุขภาพผิวดำเนินสภาพไปตามวัยได้อย่างเหมาะสม