Page 5 of 7

จะแก้ปัญหาหนี้สินที่มีอยู่อย่างไร ให้หมดได้ไว

ปัญหาหนี้สินในครัวเรือนเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องรีบแก้ไข เพราะส่งผลต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของชาติและส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของแต่ละครอบครัว โดยเฉพาะหากเป็นหนี้กู้ยืมนอกระบบที่มีการคิดดอกเบี้ยสูงกว่าที่รัฐกำหนด อาจมาจากการติดเล่นพนันบอลและสุดท้ายบอลสเต็ปที่แทงออกมาไม่ตรงกับที่คาดไว้ หากคุณมีปัญหาหนี้สินอยู่ จะจัดการให้หมดได้อย่างไรในระยะเวลาอันสั้น เรามีวิธีเสนอแนะ

  1. สรุปตัวเลขของหนี้สิน

เตรียมสมุดหรือคอมพิวเตอร์ใช้ EXCEL คำนวณหนี้สินที่คุณมีอยู่ โดยลำดับจากเจ้าหนี้ที่มีมูลค่าหนี้สินสูงที่สุด และคิดอัตราดอกเบี้ยมากที่สุด ไล่ลงมาที่ต่ำที่สุด ตามลำดับ เพื่อให้คุณได้เห็นตัวเลขของหนี้สินในปัจจุบัน และมองภาพรวมออกว่าต้องรีบใช้หนี้แก่เจ้าหนี้รายใดก่อนหลังกันเป็นจำนวนเงินเท่าใดบ้าง เช่น หนี้บัตรเครดิต หนี้ส่งรถ หนี้คอนโด ฯลฯ

  1. หาวิธีการประนอมหนี้

เจ้าหนี้แต่ละรายจะมีวิธีในการแก้ไขปัญหาไม่เหมือนกัน สถาบันการเงินอาจพิจารณาลดอัตราดอกเบี้ยหรือให้หยุดการคิดดอกเบี้ยชั่วคราวได้ แต่หากคุณเป็นลูกหนี้นอกระบบ ก็ต้องใช้วิธีการเจรจาต่อรองอีกรูปแบบหนึ่ง ทั้งนี้ คุณต้องเตรียมเอกสารหลักฐานให้เพียงพอในการเจรจาต่อรองด้วย

  1. เปลี่ยนเจ้าหนี้

กรณีที่คุณมีญาติพี่น้องที่มีฐานะพอจะช่วยคุณได้ อาจต้องขอความช่วยเหลือจากเขาเหล่านั้น เพื่อนำเงินก้อนไปชำระหนี้กับรายใหญ่ที่คิดดอกเบี้ยแพงกว่า โดยคุณตอบแทนญาติพี่น้อง ด้วยการจ่ายดอกเบี้ยที่ต่ำกว่าให้แทน และเมื่อคุณเป็นหนี้กับญาติพี่น้อง คุณไม่ควรหนีหน้าหรือตัดขาดสื่อสาร เพราะจะมีผลต่อความสัมพันธ์ในครอบครัวในระยะยาวด้วย

  1. หยุดการใช้เงินจ่ายฟุ่มเฟือย

หากคุณเป็นคนที่ชอบซื้อสินค้าแฟชั่น เปลี่ยนรถ เปลี่ยนบ้าน หรือชอบท่องเที่ยว สิ่งเหล่านี้กลายเป็นของที่ต้องหยุดการใช้จ่ายให้หมด ซึ่งหากคุณลองดูตัวเลขย้อนหลัง จะพบได้ว่าคุณสูญเสียเงินไปกับรายจ่ายเหล่านี้มากน้อยเพียงใดแทนที่จะได้นำเงินไปใช้หนี้

  1. เพิ่มทางเข้าของรายได้

วิธีที่จะทำให้คุณมีรายได้เพิ่มขึ้นอย่างง่าย คือ การนำทรัพย์สินที่มีอยู่มาขายเป็นของมือสอง หรือขายทอดตลาด เพื่อนำเงินที่ได้นั้นไปใช้หนี้ให้เร็วที่สุด แต่หากคุณไม่มีสิ่งของที่จะขายได้ ก็จะต้องมองหาลู่ทางทำอาชีพเสริมเพื่อสร้างรายได้เพิ่มขึ้นและต้องเตือนตัวเองไม่ให้เผลอใช้จ่ายเพิ่ม เมื่อมีรายได้เพิ่มขึ้น จะทำให้คุณสามารถทยอยใช้หนี้ได้มากขึ้นในเวลาที่สั้นลง

เมื่อคุณมีหนี้สินอยู่ สิ่งที่ควรทำคือ การสรุปว่าตัวเองมีหนี้อยู่เท่าไหร่ แล้วทยอยใช้หนี้ให้แก่เจ้าหนี้ รีบเจรจาเพื่อประนอมหนี้หรือไกล่เกลี่ยหนี้สินกับเจ้าหนี้ ไม่ลืมรัดกุมเรื่องการใช้เงิน และหาช่องทางการสร้างรายได้ใหม่ หากคุณทำเช่นนี้อย่างมีวินัย เชื่อว่าสามารถที่จะหมดหนี้สินได้ภายในระยะเวลาอันสั้นอย่างแน่นอน

ทำงานมาหลายปี ทำไมถึงไม่มีเงินเก็บเหมือนคนอื่นบ้าง

ไหนมีใครทำงานมา 5 ปีแล้วยังไม่มีเงินเก็บในบัญชีบ้าง ไม่ต้องยกมือแค่คุณรู้อยู่ในใจของคุณคนเดียวก็พอ จากคำถามข้างต้นทำไมต้องทำงาน 5 ปี ก็เพราะคนส่วนใหญ่ เมื่อได้งาน เริ่มมีเงินเดือน ในปี 2 ปีแรกยังสนุกกับการใช้เงินที่หามาได้จากการทำงานอยู่น่ะสิ บางคนรู้สึกตัวไวหน่อยพอเริ่มเข้าสู่ปีที่ 3 ก็จะเริ่มเก็บเงินเพราะอยากได้บ้าน อยากได้รถกันแล้ว แต่ก็มีไม่น้อยที่ทำงานได้เงินมาก็ใช้จ่ายทำงานเป็นสิบปี ไม่มีเงินเก็บเลยก็มี วันนี้เราจะมาเปิดประเด็นแบบเจาะลึกว่าอะไรคือสาเหตุที่ทำให้เราไม่มีเงินเก็บเหมือนคนอื่นเขา

ไม่วางแผนชีวิต

เหตุผลแรกเลยที่ทำให้หลายคนพลาดคือ การไม่รู้จักวางแผนอนาคตให้ตัวเอง เชื่อไหมว่าบางคนเรียนจบมาทำงาน ก็ทำไปวัน ๆ ไม่มีเป้าหมายอะไรในชีวิตเลย กินเที่ยวไปวัน ๆ บางคนก็อ้างว่าไม่มีภาระอะไรที่ต้องรับผิดชอบ ซึ่งความจริงแล้วถ้าคนที่คิดได้คิดเป็น ภาระหน้าที่ที่ต้องตอบแทนบุพการีที่เขาส่งเสียเลี้ยงดูจนเรียนจบ หรือแม้แต่การรับผิดชอบตัวเองในยามเจ็บป่วยหรือแก่เฒ่า หรือการวางแผนเผื่อยามฉุกเฉิน ทุกอย่างที่ว่ามาล้วนเป็นภาระหน้าที่ที่คนธรรมดาทั่วไปควรต้องทำถ้าไม่อยากลำบากตอนแก่ ก็ต้องวางแผนการเก็บเงินตั้งแต่อายุยังน้อย

เพราะคิดว่าเดี๋ยวก็สิ้นเดือน…เดี๋ยวเงินเดือนก็ออก

เมื่อทำงานมีรายได้เป็นเงินเดือนในทุก ๆ สิ้นเดือนเลยใช้จ่ายแบบสบายไม่ต้องคิดมากเพราะคิดว่าเดี๋ยวก็สิ้นเดือน…เดี๋ยวเงินเดือนก็ออก มนุษย์เงินเดือนส่วนใหญ่คิดแบบนั้น ถ้าคุณก็เป็นคนหนึ่งที่คิดแบบนั้น ไม่ต้องแปลกใจที่คุณไม่มีเงินเก็บ

เหลือใช้แล้วค่อยเก็บ

100% ของคนที่คิดแบบนี้ จะมีเงินไม่พอใช้และไม่เคยมีเงินเก็บ เพราะธรรมชาติของคนเราเมื่อมีเงินในมือ ไม่ว่าใครก็มักใช้เกลี้ยงแน่นอน ดังนั้นถ้าอยากมีเงินเก็บต้องแบ่งเก็บก่อนใช้ จึงจะช่วยให้คุณมีเงินเก็บได้

ตกหลุมพรางทางการตลาด

อะไรคือหลุมพราง บัตรเครดิตที่รูดไว้ก่อนค่อยผ่อนทีหลัง ของลดราคาที่ใช้ไม่ใช้ไม่เป็นไรซื้อไว้ก่อนตอนนี้กำลังลดราคา ของมันต้องมี เพื่อนมีฉันก็ต้องมีบ้าง สิ่งเหล่านี้ที่ทำให้คุณอยากได้อยากมีจนลืมนึกไปว่า สิ่งเหล่านั้นเราเสียเงินซื้อไปเพื่อสนองความต้องการของตัวคุณเองและสังคมรอบข้าง หากไม่มีเหมือนใครเขาก็กลัวอาย กลัวน้อยหน้า แต่หารู้ไม่ว่าคุณกำลังตกหลุมพรางของการตลาดเข้าอย่างจัง และมีหลายต่อหลายครั้งที่ซื้อไปแทบไม่เคยจะหยิบเอามาใช้เลยด้วยซ้ำ

มีความสุขกับปัจจุบัน

ฟังดูดี มีความสุขกับปัจจุบัน พรุ่งนี้ค่อยว่ากัน เคยไหมวันนี้ทำงานอยู่ดี ๆ พรุ่งนี้เกิดป่วยโดยไม่คาดคิด แต่ถ้าไม่ใช่แค่การป่วยเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่เป็นการป่วยที่ต้องใช้เงินรักษา หรือเขาให้ออกจากงานกะทันหันล่ะ เมื่อวานยังทำงานได้ แต่วันนี้ไม่มีงานทำแล้ว จะทำอย่างไร เข้าใจว่าทำงานเหนื่อยมันก็ต้องมีบ้างในการให้รางวัลกับตัวเอง ใช่…ข้อนี้ไม่ผิด แต่ต้องมีความพอดีพอประมาณ แบ่งความสุขจากการได้กินได้ใช้มาเป็นเงินเก็บบ้าง อย่างน้อยก็อุ่นใจที่ยังมีเงินสำรองเผื่อฉุกเฉิน หากไม่เกิดอะไรขึ้นก็ถือเป็นเงินเก็บไว้ใช้ในยามเกษียณ คิดแบบนี้จะดีกว่าไหม

คงไม่มีใครที่อยากลำบากตอนแก่ ในวัยที่เรายังมีแรงมีกำลังสามารถทำงานหาเงินได้ก็แบ่งเก็บแต่เริ่มต้น เพราะเราไม่รู้อนาคตว่าจะเกิดอะไรขึ้น มีเงินสำรองไว้ดีกว่าไม่มีเงิน ที่สำคัญการมีเงินเก็บทำให้เรามีทางเลือกมากกว่าการไม่มีเงินเก็บเลย ดังคำที่ว่ามีเงินเดือนสูงเท่าไหร่ไม่สำคัญเท่ากับมีเงินเก็บเท่าไหร่ ประโยคนี้ไม่ได้เป็นแค่คำพูดไว้เท่ ๆ อีกต่อไป แต่มันคือเรื่องจริงที่คนใช้ชีวิตแบบฉลาดเขาใช้กัน

เหตุผลที่ความร้ายสามารถเปลี่ยนมาเป็นความรักได้

เหตุผลที่ความร้ายสามารถเปลี่ยนมาเป็นความรักได้

คุณคงเคยดูละครมาบ้างแล้ว บางเรื่องที่พระเอกได้จับนางเอกขังไว้แล้วไปทรมานนางเอกจนเกิดความลำบาก แล้วคุณเกิดความสงสัยว่า ทำไมนางเอกไม่แจ้งความดำเนินคดีกับพระเอก แต่กลับตกหลุมรักอย่างมีความสุข ซึ่งเรื่องราวถึงร้ายก็รักจากบทละครมีโอกาสเกิดขึ้นได้ในชีวิตจริง เพราะมีหลักจิตวิทยาได้อธิบาย ดังต่อไปนี้

เหตุผลที่ 1 ตัวประกันคล้อยตามผู้ร้าย

การที่ตัวประกันได้คล้อยตามผู้ร้าย ทางจิตวิทยาหรือนักจิตแพทย์ชาวอเมริกัน แฟรงค์ ออซเบิร์ก ได้กล่าวไว้ว่าเป็น สต็อกโฮล์ม ซินโดรม (Stockholm Syndrome) คือ อาการทางจิตอย่างหนึ่งที่ทำให้ตัวประกันคล้อยตามผู้ร้าย ซึ่งมีความเป็นมาจากกรณีโจรปล้นธนาคารที่กรุงสตอกโฮล์มแล้วปล้นไม่สำเร็จ ก็เลยจับตัวประกันไป 4 คน ปรากฏว่าหลังจากที่ได้ประกันไว้เพียง 4 วัน มีการต่อรองเพื่อปล่อยตัวประกัน เมื่อได้ปล่อยตัวประกันทั้ง 4 คนแล้ว ไม่มีใครสักคนที่ให้ร้ายกับผู้ร้าย แต่กลับไประดมทุนเพื่อจะไปช่วยเหลือคดี ที่เป็นเช่นนี้เพราะตัวประกันกับคนร้ายเกิดความผูกพันซึ่งมาจากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็น คนร้ายหน้าตาดี คนร้ายเริ่มเอาใจใส่เหยื่อหลังจากที่ได้ทรมานเหยื่อ ทางจิตวิทยากล่าวไว้ว่า เป็นกระบวนการเอาตัวรอด ถ้าตัวประกันต่อต้านผู้ร้ายก็จะเป็นภัยคุกคามจนถูกทำร้ายมากขึ้น จึงต้องทำตัวให้เป็นพวกเดียวกันกับผู้ร้าย ก็จะไม่เป็นภัยอีกต่อไป
คนปกติก็สามารถเกิดความรักจากความร้ายได้ สังเกตได้จากสามีทำร้ายภรรยามากหรือทุบตีตลอดเวลา แต่ภรรยากลับปกป้องสามีและยังแก้ต่างให้ตลอด

เหตุผลที่ 2 ผู้ร้ายหลงรักตัวประกัน

กรณีที่ผู้ร้ายเป็นฝ่ายที่เห็นใจตัวประกัน เรียกว่า ลิม่า ซินโดรม (Lima Syndrome) ซึ่งเป็นอาการทางจิตที่ผู้ร้ายมีความรู้สึกเห็นใจตัวประกัน โดยเหตุการณ์ได้เกิดขึ้นที่ลิม่า ประเทศเปรู เมื่อสถานทูตญี่ปุ่นได้มีการจัดงานเลี้ยง ปรากฏว่าได้จับตัวประกัน 100 กว่าคนหรือทั้งงานเลี้ยง และได้นำไปทรมาน ไม่ถึงหนึ่งวัน หลังจากนั้น ผู้ร้ายได้กลับใจไม่ทำร้ายตัวประกัน แถมยังให้อาหารและเครื่องดื่ม หรือในกรณีที่มีคนร้ายหลายคน ก็จะเกลี้ยกล่อมคนร้ายคนอื่นเพื่อให้ปล่อยตัวประกันทั้งหมดไป ยอมให้ตำรวจจับ ด้วยสาเหตุหลายอย่าง เช่น ไม่อยากทรมานคนบริสุทธิ์ การอยู่ใกล้ชิดกับตัวประกันเกิดความผูกพัน ตัวประกันมีความน่าสงสาร อาจจะเป็นเด็ก ผู้หญิงตั้งครรภ์และผู้หญิงสวย รวมถึงการตกหลุมรักตัวประกัน บางทีถึงขั้นพาหนีไปแต่งงานคล้ายในละคร แสดงให้เห็นว่า ผู้ร้ายไม่ได้ร้ายจริงและยังมีคุณธรรม แต่จำเป็นต้องทำเพื่อวัตถุประสงค์อะไรบางอย่าง

ความรักไม่มีเหตุผล แม้แต่ความร้ายก็สามารถเปลี่ยนเป็นความรักได้ โดยเฉพาะอาการทางจิตอย่างหนึ่งที่ทางจิตวิทยาได้กล่าวไว้ข้างต้น ทั้ง สต็อกโฮล์ม ซินโดรม และ ลิม่า ซินโดรม แต่ถึงอย่างไรก็ตาม นี่เป็นการอธิบายจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วเท่านั้น การจะทำให้คนอื่นมารักเรานั้น ต้องเริ่มจากทัศนคติและการปฏิบัติที่ดีต่อกัน จึงจะเป็นรักแท้และยั่งยืน ในทางตรงกันข้าม หากจะทำร้ายใครเพื่อหวังให้เขามารักเราได้เหมือนฉากในละครแล้ว พระเอกต้องถูกกฎหมายจัดการเสียก่อนแน่นอน

วิธีเกรงใจอย่างสมดุล เพื่อไม่ให้คนเห็นแก่ตัวเอาเปรียบได้

ความเกรงใจเป็นคุณสมบัติที่ทุกคนควรจะมีเพราะจะทำให้อยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข ในทางตรงข้ามหากไม่มีความเกรงใจเลย ก็จะนำไปสู่การกระทบกระทั่งได้ แต่อย่างไรก็ตาม หากความเกรงใจแบบไม่มีเหตุผลหรือมากเกินไป ก็จะเป็นการเปิดช่องทางให้คนเห็นแก่ตัวเอาเปรียบได้ โดยเฉพาะคนไทยมีนิสัยขี้เกรงใจเป็นทุนเดิม จึงมักจะพูดคำว่า “ไม่เป็นไร” เพราะปฏิเสธไม่เป็น ทำให้รู้สึกอึดอัดใจที่จะต้องปฏิเสธจนถึงขั้นตัวเองต้องเดือดร้อน

ความเกรงใจ มี 2 สาเหตุ คือ สาเหตุแรก เกิดจากความรัก ทำให้ไม่อยากปฏิเสธเพราะปรารถนาให้เขามีความสุขหรือไม่รู้สึกเสียใจ สาเหตุที่สอง เกิดจากความกลัวว่าเขาจะไม่รัก เกลียดหรือกลัวถูกตำหนิ ด้วยเหตุนี้ เราจึงมาบอกวิธีเกรงใจอย่างสมดุล ดังต่อไปนี้

วิธีเกรงใจอย่างสมดุล

วิธีแรก ตั้งคำถามกับตัวเองก่อนที่จะเกรงใจ

เริ่มต้นด้วยการคิดว่า ทำไมต้องเกรงใจผู้อื่น เพราะรู้สึกรักเขาหรือกลัวว่าเขาไม่รัก การตั้งคำถามกับตัวเองแบบนี้เพื่อช่วยให้คุณตอบคำถามให้กับตัวเองได้ และตัดสินใจที่จะเกรงใจหรือไม่เกรงใจง่ายขึ้น

วิธีที่ 2 สังเกตว่าการเกรงใจก่อประโยชน์ให้กับตนเองและผู้อื่นหรือไม่

การมองว่าสิ่งที่กำลังจะเกรงใจเป็นประโยชน์หรือไม่ เช่น ช่วงนี้งานยุ่งมากแต่เพื่อนชวนไปดูคอนเสิร์ต ถ้าเป็นเช่นนี้ควรจะปฏิเสธอย่างนุ่มนวลหรือถนอมน้ำใจและหลีกเลี่ยงการปฏิเสธแบบไร้เยื่อใยเพื่อรักษามิตรภาพ ด้วยการพูดว่า ช่วงนี้ต้องเคลียร์งานให้เสร็จก่อนหรือถ้ามีคนรู้จักชวนซื้อวิตามินเสริม หากสุขภาพไม่ดีจริง เป็นจังหวะที่ดีที่จะอุดหนุนเขาซึ่งเป็นประโยชน์ทั้งเขาและเรา ในทางตรงข้ามถ้าคุณสุขภาพดีอยู่แล้ว เขาชวนซื้อก็ควรปฏิเสธไป ซื้อไปก็ไม่ก่อประโยชน์ให้กับตัวเองแต่อย่างใด

วิธีที่ 3 สังเกตว่าการเกรงใจเกิดโทษให้กับตัวเองและผู้อื่นหรือไม่

สิ่งที่เกิดโทษ เช่น สุขภาพไม่ดีแต่เกรงใจเพื่อนที่ชวนไปดื่มสุรา ก็จะทำให้สุขภาพของตัวเองแย่ลงได้ มีเพื่อนชวนลงทุนแต่คุณรู้สึกว่าเสี่ยงเกินไปและไม่มั่นใจที่จะลงทุน เพื่อนขอลอกข้อสอบแต่เกรงใจจึงให้ลอกได้ก็จะเกิดโทษทั้งผู้ให้ลอกและผู้ลอก สิ่งเหล่านี้จะดีกว่าที่จะปฏิเสธไปเลย และไม่ต้องคิดมากว่า ถ้าไม่ตามเพื่อนแล้วเขาจะเลิกคบเรา เนื่องจากเป็นความเกรงใจที่เสียประโยชน์และนำมาซึ่งความเสียหายนั่นเอง

สำหรับบางเรื่องก็ไม่ควรปฏิเสธแต่อาจจะยื่นข้อเสนอต่อรอง เช่น มีคนเคยช่วยเหลือเกื้อกูลเรามาก่อน แต่เมื่อถึงคราวที่เขาลำบากแล้วมาขอยืมเงิน เราก็ควรจะช่วยเหลือเท่าที่สามารถทำได้ ถ้าเขาขอหนึ่งแสนแต่เรามีแค่หลักหมื่น ก็ต่อรองว่าไม่สามารถให้ตามจำนวนที่ขอได้ แต่จะให้ในระดับที่เราช่วยเหลือได้เท่านั้น ดังนั้น วิธีที่ได้กล่าวข้างต้น บ่งบอกการมีจุดยืนในการเกรงใจอย่างสมดุล ซึ่งเป็นสิ่งที่ทุกคนควรมี เพื่อป้องกันคนเอาเปรียบได้อย่างดีเลยทีเดียว

วิธีเกรงใจอย่างสมดุล

วิธีทำงานประจำ ให้มีประสิทธิภาพ

แต่ละคนมีประสิทธิภาพในการทำงานแตกต่างกันออกไป แต่ก็สามารถพัฒนาให้เท่าเทียมกันได้ ขึ้นอยู่กับความพยายาม หากเราไม่ถนัดทักษะด้านใด การฝึกฝนเป็นประจำก็จะช่วยให้เห็นผลได้ในวันใดวันหนึ่ง วันนี้เราจึงขอเสนอ 5 เทคนิคการทำงานให้มีประสิทธิภาพ เพื่อให้ผลงานเป็นที่น่าพอใจ ถึงแม้จะไม่มีใครเห็นคุณค่า แต่ถ้าเราทำด้วยความจริงใจและตั้งใจแล้ว อย่างน้อยก็สร้างความภูมิใจให้กับตัวเองได้

5 เทคนิคการทำงานให้มีประสิทธิภาพ

ตั้งเป้าหมายให้ชัดเจน : เป้าหมายในการทำงานของแต่ละคน นอกจากคาดหวังให้มีผลงานออกมาเป็นที่น่าพึงพอใจแล้ว การตั้งเป้าหมายระยะยาวจะช่วยให้เรามีแรงบันดาลใจในการทำงานเพิ่มขึ้นด้วย เช่น ตั้งใจเก็บเงินเพื่อนำไปเที่ยวหรือลงทุนทำธุรกิจ หรือมีเป้าหมายอื่น ๆ ก็ตาม เพราะการตั้งเป้าหมายในสิ่งที่เราชอบและมีความชัดเจน ย่อมเป็นแรงขับเคลื่อนที่ดีกว่าการทำงานประจำไปวัน ๆ โดยไร้เป้าหมายแน่นอน

มีวินัยในการทำงาน : การทำงานประจำถึงแม้จะเป็นเรื่องซ้ำ ๆ เดิม แต่เราก็ไม่ควรละเลยเรื่องความมีวินัย เพราะจะเป็นการแสดงถึงความรับผิดชอบ นอกจากนี้ยังช่วยให้เราบริหารเวลาได้ดีขึ้น ไม่ต้องเร่งทำงานเมื่อใกล้ถึงกำหนด จนอาจทำให้เกิดความเครียดและส่งผลเสียต่อร่างกายตามมาได้

ไม่ติดอยู่ใน comfort zone : บางคนอาจจะคิดว่ามีงานประจำทำแล้ว ไม่ต้องหาความรู้เพิ่มเติมก็ได้ แต่เป็นความคิดที่ผิด เพราะโลกเรามีความก้าวหน้าไปทุก ๆ วัน ถ้าเราไม่พัฒนาความรู้ตามไปด้วยก็จะทำให้กลายเป็นคนล้าหลังได้ โดยสมัยนี้มีแหล่งความรู้มากมายทั้งออฟไลน์และออนไลน์ ให้หาความรู้เพิ่มเติมกันได้ตามแบบที่ต้องการ ซึ่งความรู้ที่เรามีเพิ่มขึ้นในเรื่องต่างๆ ก็จะช่วยให้เรารู้เท่าทันโลก ไม่ตกเป็นเหยื่อของใครได้ง่าย ๆ ด้วย

ท้อได้แต่อย่าถอย : ในการทำงานย่อมเกิดความเหนื่อยล้า ถ้าหากมีความผิดหวังหรือความเครียดมาก ๆ ก็อาจทำให้เกิดความรู้สึกท้อได้ ซึ่งเราก็ควรให้เวลาตัวเองได้ผ่อนคลาย อาจจะไปพักผ่อนให้สมองได้หยุดความคิดเรื่องงานสักพัก แล้วค่อยกลับมาสู้กับปัญหาใหม่ หากเราพยายามมากพอ สักวันก็จะผ่านพ้นปัญหาไปได้อย่างแน่นอน

มองภาพรวมขององค์กร : ลักษณะงานแต่ละงานมีทั้งงานเดี่ยวและต้องร่วมทีมกับคนอื่น ๆ ซึ่งไม่ว่างานแบบไหนเราก็ต้องทำหน้าที่ของตัวเองให้เต็มที่ หากเป็นงานที่เป็นกลุ่มก็ต้องเพิ่มความเชื่อใจต่อคนในทีมด้วย เพราะแต่ละคนอาจจะเก่งไม่เท่ากันแต่ก็สมควรได้รับความเชื่อใจไม่น้อยไปกว่ากัน หากเรามองเห็นปัญหาว่าคนไหนยังทำงานได้ไม่ดีพอ ก็อาจจะให้คำปรึกษาเป็นระยะ แต่ต้องไม่ลืมความเชื่อใจในฝีมือของคนอื่น เพราะจะช่วยสร้างความมั่นใจ ซึ่งจะเป็นผลดีต่อการทำงานในครั้งถัดไปด้วย

การทำงานทุกชนิด หากเรามีความพยายามและตั้งใจมากพอ ก็จะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้งานออกมามีประสิทธิภาพได้ หากยังมีข้อผิดพลาดบ้างเล็กน้อย อย่างน้อยเราก็สามารถตอบตัวเองได้ว่าเราได้ทำอย่างเต็มที่แล้ว

วิธีทำงานประจำ ให้มีประสิทธิภาพ

How to สุขภาพจิตดีได้ ด้วยการคิดบวก จนใคร ๆ ก็อยากอยู่ใกล้คุณ

ความคิดลบเป็นเรื่องธรรมดาที่จะเกิดขึ้นได้กับทุกคน แต่เมื่อรู้ตัวเองว่ามีความคิดลบ ให้คุณยอมรับแล้วเปลี่ยนจากความคิดลบให้กลายเป็นคนคิดบวกได้ ด้วย How to การคิดบวก ที่เรากำลังจะกล่าวถึง แล้วคุณจะได้มีสุขภาพจิต สุขภาพกายใจ ดีได้ จนใคร ๆ ก็อยากอยู่ใกล้คุณ ซึ่งมีอะไรบ้าง มาดูกัน

วิธีทำให้สุขภาพจิตดี

ไม่จมกับเหตุการณ์ไม่ดีในอดีต เมื่อไหร่ที่มีความคิดลบในอดีตผุดขึ้นมาในหัว ให้คุณคิดว่าชีวิตคนเรามันสั้น ซึ่งจะดีกว่าถ้ามีการลุกขึ้นแล้วเดินก้าวต่อไปข้างหน้าหรือไม่มีการถอยหลัง เนื่องจากไม่ว่าจะเป็นปัญหาอะไรก็ตาม เป็นสิ่งที่ใคร ๆ ก็ต้องเผชิญกันทั้งนั้นไม่มากก็น้อย ไม่ใช่เฉพาะคุณคนเดียว หากคุณเคยโดนทำร้ายจิตใจจากใครสักคนหนึ่งก็ให้ขอบคุณเขา อาจเป็นสิ่งที่ยากแต่ก็ทำได้ เพียงคุณเปลี่ยนมุมมองว่าได้เรียนรู้อะไรบ้างจากเขาที่ทำให้คุณเข้มแข็งหรือเก่งขึ้น เพราะฉะนั้น อย่ามัวคิดลบ เพราะจะทำให้เสียเวลา ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์เลย และเมื่อถึงคราวอำลาโลก ปัญหาทุกอย่างที่เกิดขึ้นก็ไม่ได้ติดตัวไปแม้แต่น้อย

ไม่กังวลกับอนาคต แต่ให้ดึงสติอยู่กับปัจจุบัน หากคุณเป็นคนหนึ่งที่ชอบมีความคิดลบไปปรุงแต่งในสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น คุณสามารถดึงสติให้อยู่ในปัจจุบันด้วยการนั่งสมาธิอยู่กับลมหายใจ เพียงสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ จากนั้นหายใจออกยาว ๆ หรือคุณจะหาใครสักคนที่รู้สึกไว้ใจแล้วระบายให้เขาฟัง แต่ถ้าไม่มีใครที่จะคอยรับฟัง คุณอาจจะเขียนระบายลงในกระดาษออกไปให้หมด แล้วความคิดลบก็จะจางหายไปเอง

ไม่คิดเปรียบเทียบกับคนอื่น การเปรียบเทียบ บ่งบอกถึงความคิดลบและจะทำให้คุณรู้สึกด้อยค่า ส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิต มีอาการหงุดหงิด โมโห และเมื่อมีความคิดลบสะสมมากขึ้น ก็จะทำให้นอนไม่หลับ ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ เพราะฉะนั้น ให้ขจัดความคิดลบได้ด้วยการใช้ชีวิตในแบบตัวเอง โดยไม่พยายามเป็นคนอื่นและไม่คิดว่าทำไมเขาหน้าตาดีกว่าเรา ทำไมเขาเรียนเก่งกว่าเรา ทำไมเขารวยกว่าเรา หรืออื่น ๆ

ไม่หวั่นไหวกับคำพูดลบของคนอื่น คำพูดดูถูกหรือคำด่าจากคนอื่นส่งผลทำให้เกิดความคิดลบ จิตใจห่อเหี่ยวได้ หากคุณไม่อยากหวั่นไหวคำพูดด้านลบของคนอื่นมากเกินไป คุณสามารถกำหนดคุณค่าของตนเองได้เอง ด้วยการหันมามองข้อดีพร้อมพัฒนาให้ดียิ่งขึ้นไป แบบไม่จำเป็นต้องพึ่งพาปัจจัยภายนอก เช่น ของแบรนด์เนม เครื่องประดับต่าง ๆ ที่มีราคาแพง เป็นต้น คำพูดของคนอื่นนั้น หากเป็นจริง ก็นำมาแก้ไขปรับปรุงตนเอง หากไม่จริง ก็ปล่อยวางทิ้งไปไม่เก็บมาคิดกังวล

เมื่อคิดบวกได้แล้ว คุณอาจจะจดบันทึกไว้ จากนั้นมาทบทวนก่อนนอนเป็นประจำในทุกวัน หรืออย่างน้อย 21 วัน ตามหลักจิตวิทยา เพื่อจะได้เป็นคนที่มองหาแต่สิ่งดี ๆ และมีชีวิตชีวามากขึ้นกว่าเดิม ซึ่งเป็นการแผ่พลังงานบวกไปยังคนที่อยู่รอบข้าง ทำให้คนรอบตัวได้รับความสุขและมีจิตใจที่สดใสไปด้วย นี่จึงเป็นเหตุผลที่เมื่อคุณมีสุขภาพจิตที่ดีแล้ว ใคร ๆ ก็อยากอยู่ใกล้คุณนั่นเอง

วิธีทำให้สุขภาพจิตดี

เว็บหางานยอดนิยม สำหรับ เด็กจบใหม่

สมัยก่อนหากนักศึกษาจบใหม่อยากมีงานทำ อย่างแรกที่ทุกคนต้องทำคือ เตรียมประวัติการศึกษา เอกสารสมัครงาน และเอกสารส่วนตัว จากนั้นแล้วจึงค่อยเดินเข้าไปสมัครงานที่บริษัทที่ตัวเองอยากได้ กว่าจะได้งานทำก็ต้องเดินหาจนเหนื่อย แต่ปัจจุบันการหางานสามารถทำได้ง่ายและรวดเร็วกว่าเดิมมาก เนื่องจากมีระบบสมัครงานและอับโหลดข้อมูล รวมถึงเอกสารส่วนตัวผ่านทางเว็บหางานที่มีมากมายหลายเว็บไซต์ เด็กสมัยใหม่มักเสียเวลาไปกับการดูหนัง ดูโปรแกรมบอล livescore7m อย่ามั่วใช้เวลาเสียปล่าว มารีบหางานเพื่อหาเงินก่อนจะลืมสิ่งที่พึ่งเรียนจบมากันเถอะ

Jobthai : เว็บไซต์แรกที่อยากแนะนำคือ Jobthai เว็บไซต์หางานที่เปิดให้บริการมายาวนานที่มีทั้งเด็กจบใหม่และรุ่นพี่ที่ผ่านการทำงานมาแล้วนิยมเข้าไปฝากประวัติส่วนตัว เนื่องจากเว็บไซต์นี้มีงานให้เลือกทุกสาขาอาชีพ ที่สำคัญมีงานใหม่ ๆ อัปเดตทุกวัน อีกทั้งยังสามารถส่งใบสมัครได้ทันทีด้วยปุ่มสมัครงานอีกด้วย จึงเป็นการการันตีได้ว่าถ้าหางานจากเว็บนี้ต้องได้งานทำแน่นอน

JobsDB : เรียกว่าเป็นเว็บไซต์หางานยอดฮิตในขณะนี้สำหรับ JobsDB เนื่องจากมีเครือข่ายงานที่มั่นคงทั้งในและต่างต่างประเทศ นอกจากนั้นยังไม่ต้องกังวลว่าถูกรบกวนโดยบริษัทประกัน เพราะเว็บไซต์ JobsDB ไม่อนุญาตให้ตัวแทนขายประกันเข้าถึงประวัติส่วนตัวของคุณ

Jobbkk : เว็บไซต์ Jobbkk เป็นอีกหนึ่งเว็บไซต์หางานอันดับต้น ๆ ของประเทศไทยที่มีผู้เข้าใช้บริการหลักล้านคนต่อปี ซึ่งในปัจจุบันเป็นพันธมิตรกับบริษัทชั้นนำของประเทศกว่า 50,000 บริษัท มีอัตรางานให้เลือกเกินกว่า 100,000 ตำแหน่งให้เลือกสมัคร ด้วยเหตุนี้จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เว็บไซต์นี้จะได้รับความนิยมจากเด็กจบใหม่จำนวนมาก

Jobtopgun : สำหรับเว็บไซต์ Jobtopgun ถือว่าได้รับความนิยมไม่น้อยในกลุ่มเด็กรุ่นใหม่ เนื่องจากมียอดผู้ติดตามบนหน้าเพจเฟซบุ๊กเกือบ 1 ล้านคน ซึ่งในการสมัครงานนั้น ทางเว็บไซต์จะมีคำแนะนำในการเขียน Super Resume เพื่อให้ผู้สมัครได้งานง่ายขึ้นกว่าเดิม

Thaijobsgov : ปิดท้ายกันด้วยเว็บไซต์ Thaijobsgov เว็บไซต์ที่ออกแบบมาเพื่อคนหางานราชการโดยเฉพาะ ซึ่งนอกจากจะมีข่าวรับสมัครงานข้าราชการประจำจากทุกหน่วยงานของรัฐแล้ว ยังมีตำแหน่งงานสำหรับผู้ที่ต้องการงานสมัครงานเป็นพนักงานราชการและลูกจ้างชั่วคราวในหน่วยงานของรัฐด้วย

เป็นอย่างไร้บางสำหรับ 5 เว็บไซต์หางานยอดนิยมที่เรานำมาฝากในวันนี้ ซึ่งนอกจากจะเข้าไปค้นหางานที่เหมาะสมกับตัวเองได้ทุกวันแล้ว ขอแนะนำว่าควรฝากประวัติไว้ในทุกเว็บไซต์ เพราะนอกจากที่คุณจะสามารถค้นหางานได้จากเว็บไซต์เหล่านี้แล้ว บริษัทต่าง ๆ ก็ยังสามารถเข้ามาค้นหาคนให้ตรงกับงานได้ด้วย ดังนั้นหากประวัติงานน่าสนใจก็จะเพิ่มโอกาสได้งานทำมากขึ้น

สิ่งที่ต้องทำก่อนมอบสัตว์เลี้ยงเป็นของขวัญ

สุนัขและแมวเป็นสัตว์เลี้ยงที่คนนิยมมากที่สุด การมอบสุนัขและแมวเป็นของขวัญให้เพื่อน คนรัก หรือสมาชิกครอบครัวไม่ใช่เรื่องแปลก ณ นาทีนั้น ทั้งคนให้และคนรับต่างมีความสุข ดูแล้วไม่น่าจะมีปัญหาอะไร หลายกรณีเกิดปัญหาในภายหลัง หากคน ๆ นั้นไม่พร้อมที่จะดูแลรับผิดชอบระยะยาว บางกรณีเจ้าของกับสัตว์เลี้ยงก็เข้ากันไม่ได้ กลายเป็นปัญหาและสร้างภาระให้อย่างคาดไม่ถึง วันนี้เรามีข้อแนะนำดังนี้

สิ่งที่ควรทำก่อนมอบสัตว์เลี้ยงเป็นของขวัญ

1.เลือกสัตว์เลี้ยงที่เหมาะกับไลฟ์สไตล์ ประเมินความรักชอบของผู้รับว่ายินดีเลี้ยงสุนัข แมว หรือสัตว์ชนิดอื่น ๆ มอบเฉพาะสัตว์เลี้ยงที่เจ้าของต้องการเสมอ แนะนำว่าเด็กและผู้สูงวัยไม่เหมาะกับสุนัขที่ร่าเริงซุกซนเพราะต้องออกกำลังกายมาก เช่นเดียวกับแมวขี้ประจบที่อาจพันแข้งพันขาให้สะดุดล้มได้บ่อย

2.สายพันธุ์สุนัขแตกต่างกันมาก ทั้งตัวเล็กตัวใหญ่ล้วนมีกิจกรรมและนิสัยแตกต่างกันไป ถ้าไม่แน่ใจอย่าทำเซอร์ไพรส์ สอบถามความสมัครใจเลยดีกว่า สายพันธุ์ของแมวมีขนาดและนิสัยไม่ต่างกันมากเท่าสุนัข แต่สัตว์ทุกตัวมีบุคลิกและหน้าตาที่เป็นเอกลักษณ์ อาจจะพากันไปเลือกด้วยตัวเองให้ได้สัตว์เลี้ยงตัวโปรดที่ถูกใจมากที่สุด

3.สัตว์เลี้ยงตัวใหม่อาจเป็นของขวัญที่ดีสำหรับคนรักหรือพ่อแม่วัยเกษียณ เพื่อเลี้ยงดูเป็นเพื่อนยามเหงา เนื่องจากการเลี้ยงสัตว์มีค่าใช้จ่ายต่อเนื่องนานหลายปี เรื่องนี้ต้องวางแผนล่วงหน้าเพื่อเลือกสิ่งดีที่สุดให้กับคนรัก เช่น อุปกรณ์สัตว์เลี้ยง อาหาร รวมถึงค่าใช้จ่ายในการให้วัคซีน ทำระบบไมโครชิป ตลอดจนตรวจรักษากับสัตวแพทย์ ช่วยแบ่งเบาค่าใช้จ่ายด้านต่าง ๆ เพื่อไม่ให้ผู้รับรู้สึกเหมือนเป็นภาระและไม่พร้อมต้อนรับดูแลสัตว์เลี้ยงตัวใหม่ การไปจับจ่ายเลือกของใช้และซื้ออาหารและขนมสำหรับสัตว์เลี้ยงมาให้กันบ่อย ๆ ยังทำให้ได้ใช้เวลาด้วยกัน ทำให้ของขวัญมีชีวิตนั้น มีความพิเศษยิ่งขึ้น

4.สัตว์เลี้ยงที่ได้รับการอบรมและฝึกนิสัยแล้ว ดูแลง่ายกว่า แต่เจ้าของส่วนใหญ่ชอบเลี้ยงตั้งแต่ยังเล็ก ๆ น่ารัก สร้างความผูกพันกันทั้งสัตว์เลี้ยงและทั้งสองฝ่ายที่ช่วยกันเลี้ยงดูให้โตเต็มที่ การเผชิญหน้าโดยตรงเป็นวิธีดีที่สุด ถ้าเป็นไปได้ ปล่อยให้ลองเลี้ยงเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ เพื่อให้แน่ใจว่าเป็นการจับคู่เจ้าของและสัตว์เลี้ยงที่เหมาะสมกัน

5.ปรึกษาทุกคนในบ้าน ไม่เฉพาะผู้รับเท่านั้นที่สำคัญ แต่คนในบ้านต้องร่วมรับผิดชอบเจ้าตัวน้อยด้วย ความคิดเห็นเพียงคนเดียวจึงไม่เพียงพอ การเลี้ยงสัตว์นั้นยุ่งยาก ไม่เฉพาะค่าใช้จ่าย สถานที่และเวลาที่ต้องให้กับสัตว์เลี้ยงเท่านั้น แต่ยังต้องระมัดระวังเรื่องอาการแพ้ขนสัตว์ หรือทำให้คนในครอบครัวรำคาญหรือไม่ ควรคำนึงถึงผลกระทบรอบด้านก่อนที่จะนำสัตว์เลี้ยงเข้ามาในบ้าน

ความจริงแล้วการเลี้ยงสัตว์เป็นความรับผิดชอบสูงมาก เพราะว่าต้องใช้เวลาอยู่ด้วยกันไปนานนับสิบปี สัตว์เลี้ยงจึงไม่ใช่ของกำนัลที่จะมอบให้กันง่าย ๆ เว้นแต่ผู้ให้จะยินดีร่วมรับผิดชอบต่อชีวิตนั้นด้วย ก็ไม่น่าจะเป็นปัญหาแต่อย่างใด

สิ่งที่ต้องทำก่อนมอบสัตว์เลี้ยงเป็นของขวัญ

ไม่อยากเป็นโรคอ้วน ต้องกินอะไร

โรคอ้วนถือว่าเป็นปัญหาสุขภาพทั้งของคนไทยและคนทั่วโลกที่องค์การอนามัยโลก WHO ได้ออกคำเตือนให้กระทรวงสาธารณสุขทั่วโลก แนะนำประชาชนให้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหารให้ห่างไกลโรคอ้วนมากขึ้น

อาหารอะไรบ้าง ที่ไม่มีปัญหาโรคอ้วน

1. ข้าวกล้องและขนมปังธัญพืช

การรับประทานข้าวกล้อง จะทำให้ได้ส่วนของเส้นใยไฟเบอร์มากกว่าการกินข้าวขาว ซึ่งส่วนของเส้นใยนี้สำคัญต่อการทำให้อิ่มท้องเร็วขึ้น และช่วยให้การดูดซึมไขมันส่วนเกินจากอาหารน้อยลง หากชอบรับประทานขนมปังแซนวิชเป็นมื้อเช้า ก็แนะนำให้ใช้ขนมปังโฮลวีตแทนขนมปังสีขาวทั่วไป

2. ปลาทะเลน้ำลึก

ปลาทะเลน้ำลึกอย่างปลาแซลมอน หรือปลาทูน่า เป็นโปรตีนชนิดดีที่มีไขมันน้อย ทำให้ร่างกายลดจำนวนไขมันส่วนเกินเมื่อนำมาทำเมนูอาหารได้ ทั้งนี้แนะนำให้ใช้กรรมวิธีย่างแทนการทอด เพื่อหลีกเลี่ยงไขมันทรานส์ที่เป็นสาเหตุของโรคต่าง ๆ เช่น โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคอ้วน ฯลฯ หากเมนูอาหารของคุณทำจากเนื้อปลาแทนเนื้อแดง เช่น หมู วัว ได้มากขึ้น จะทำให้น้ำหนักตัวลดลงและรูปร่างดีขึ้นได้

3. ถั่วเหลือง

ถั่วเหลืองนับเป็นโปรตีนจากพืชธรรมชาติที่ดีต่อสุขภาพของทุกคนในครอบครัว ผู้ที่มีปัญหาการแพ้นมวัว เช่น ท้องอืด ท้องเสีย จากการขาดเอนไซม์ย่อยโปรตีนในนมวัว ก็สามารถดื่มเป็นนมถั่วเหลืองหรือน้ำเต้าหู้แทนได้ ซึ่งจะทำให้ควบคุมปริมาณพลังงานที่ร่างกายได้รับดีขึ้น นอกจากนี้ การรับประทานผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง เช่น เต้าหู้เป็นประจำ ยังช่วยเสริมฮอร์โมนและแคลเซียมให้แก่ผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนให้ลดความเสี่ยงปัญหาโรคกระดูกพรุนได้ด้วย

4. ดื่มน้ำเปล่า

การดื่มน้ำเปล่าเป็นสิ่งที่ดีต่ออวัยวะและเซลล์ร่างกาย โดยเฉพาะผู้ที่ต้องการลดน้ำหนัก เพราะกระบวนการเผาผลาญต้องมีการใช้น้ำ หากร่างกายขาดน้ำจะเสี่ยงต่อภาวะช็อกได้ นอกจากนี้ผู้ที่ออกกำลังกายบ่อย ๆ เพื่อลดความอ้วน ก็ต้องพกน้ำเปล่าติดตัวด้วย เพื่อลดการดื่มเครื่องดื่มเกลือแร่และน้ำหวานต่าง ๆ ที่แม้จะทำให้สดชื่น แต่ก็ทำให้ร่างกายได้รับน้ำตาลมากเกินจำเป็น

5. โยเกิร์ต

การรับประทานโยเกิร์ตก่อนนอนเป็นสิ่งที่ดีต่อระบบขับถ่าย และยังช่วยเพิ่มจุลินทรีย์ชนิดดีในลำไส้ ซึ่งจำเป็นต่อการดูดซึมสารอาหารดี ๆ ในมื้ออาหารหลักของคุณ ทั้งนี้ควรเลือกสูตรไม่มีไขมันและน้ำตาลน้อยด้วย

จะเห็นได้ว่า การเลือกรับประทานอาหารที่ดีเป็นสิ่งที่ทุกคนเริ่มทำได้ เพื่อให้ตัวคุณเองและสมาชิกในครอบครัวห่างไกลจากโรคอ้วน เราหวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์ให้ทุกท่านตระหนักถึงความสำคัญของการรับประทานอาหารที่ดีมากขึ้นต่อไป

อาหารอะไรบ้าง ที่ไม่มีปัญหาโรคอ้วน

วิธีป้องกันงูเข้าบ้านที่ทุกคนควรรู้

งูเป็นสัตว์เลื้อยคลานที่มีอันตรายทั้งต่อคนและ สัตว์เลี้ยง การถูกกัดเพียงครั้งเดียวก็ถึงขั้นทำให้สูญเสียอวัยวะหรือเสียชีวิตได้ โดยเฉพาะงูที่มีพิษทางระบบเลือดและระบบประสาท หากได้รับเซรุ่มไม่ทันตามเวลาก็จะทำให้เกิดการสูญเสียสมาชิกในครอบครัวได้ เรามาดูกันว่า จะมีวิธีการป้องกันเพื่อไม่ให้งูเข้ามาอยู่ในบริเวณที่พักอาศัยของเราได้อย่างไรบ้าง

1. ควบคุมแหล่งอาหารของงู

งูจะชอบกินหนูและนกที่มาอาศัยในบ้านเรือน การดูแลเรื่องความสะอาด และตัดตกแต่งกิ่งไม้ที่นกจะมาทำรังเป็นประจำ จะช่วยป้องกันไม่ให้งูเข้ามาหาอาหารในบริเวณบ้านได้ ทั้งยังทำให้บ้านมีบรรยากาศน่าอยู่ขึ้นด้วย

2. จัดของเป็นระเบียบ

งูเป็นสัตว์ที่ชอบอำพรางตัว หากมีการจัดวางข้าวของอย่างเป็นระเบียบก็จะทำให้ไม่มีสถานที่ให้มันหลบซ่อนตัว จึงต้องหมั่นทำความสะอาดพื้นที่ส่วนต่าง ๆ เช่น ห้องเก็บของ โรงรถ บริเวณที่มีการคว่ำกระถางต้นไม้ กองผ้าและถุงปุ๋ย ฯลฯ ซึ่งพบว่าเป็นจุดเสี่ยงที่มีการเจองูมาก

3. ติดตาข่ายและมุ้งลวด

งูมักเลื้อยมาจากโพรงใต้ดินหรือท่อน้ำ โดยเฉพาะช่วงที่มีน้ำท่วม การติดตาข่ายและมุ้งลวด จะป้องกันไม่ให้งูโผล่เข้ามาอยู่ในพื้นที่บ้านได้ การลงทุนติดอุปกรณ์เหล่านี้ถือว่าคุ้มค่าต่อการลดภัยถึงชีวิต ทั้งนี้ควรเลือกแบบที่ตาถี่ ๆ จะทำให้ป้องกันทั้งงูขนาดเล็กและขนาดใหญ่ รวมถึงสัตว์มีพิษอื่น ๆ เช่น ตะขาบ แมงป่อง ได้ด้วย

4. เลี้ยงสุนัขในบริเวณบ้าน

สุนัขสามารถดมกลิ่นได้ดีกว่าสัตว์เลี้ยงชนิดอื่น หากเจอกลิ่นสัตว์แปลกปลอมจะเห่าเพื่อเตือนภัยและส่วนใหญ่จะสามารถไล่กัดงูได้ด้วย จึงนับว่าสุนัขเป็นเพื่อนช่วยให้เพลิดเพลินและยังช่วยในการเตือนภัยให้กับคุณได้เป็นอย่างดี

5. ทาหรือโรยสารที่มีกลิ่นแรง

งูเป็นสัตว์ที่ไม่ชอบสารกลิ่นฉุน การใช้สารที่มีกลิ่นแรง แต่ไม่มีพิษต่อคนและสัตว์เลี้ยง เช่น น้ำมันก๊าด น้ำมันเครื่องรถ และผงกำมะถัน ทาไว้ในบริเวณที่มีความเสี่ยง เช่น เคยพบซากงูลอกคราบ หรือโรยไว้รอบรั้วบ้านทุกด้าน จะทำให้งูไม่เลื้อยมาใกล้ ๆ อย่างแน่นอน

การป้องกันไม่ให้งูเข้าบ้านเป็นสิ่งที่จำเป็น หากมีเหตุไม่คาดฝัน คือ งูเข้ามาอยู่ในรั้วบ้านของคุณแล้ว ไม่ควรประมาทที่จะไล่ตีหรือจับงูด้วยตัวเอง ควรรีบโทรศัพท์แจ้งตำรวจหรือหน่วยงานกู้ภัย ให้เจ้าหน้าที่ผู้มีประสบการณ์และเครื่องมือเตรียมพร้อมในการจับงู มาช่วย จะทำให้คุณและสมาชิกในบ้านทุกคนปลอดภัยมากที่สุด

วิธีป้องกันงูเข้าบ้านที่ทุกคนควรรู้