Category: ไม่เข้าหมวด

การเตรียมความพร้อมรับมือน้ำท่วมอย่างปลอดภัย

การเตรียมความพร้อมรับมือน้ำท่วมอย่างปลอดภัยเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการดูแลความเป็นอยู่ที่ดีของตัวคุณเอง ครอบครัว และทรัพย์สินของคุณ 8 วิธีเตรียมตัวรับมือน้ำท่วมอย่างปลอดภัยมีดังนี้

1.สร้างแผนฉุกเฉิน: จัดทำแผนฉุกเฉินที่ครอบคลุมร่วมกับครอบครัวของคุณ รวมเส้นทางการอพยพ จุดนัดพบ และกลยุทธ์การสื่อสาร ขอให้ทุกคนเข้าใจว่าต้องทำอย่างไรเมื่อเกิดน้ำท่วม

2.รับทราบข้อมูล: ติดตามการพยากรณ์อากาศและรับทราบข้อมูลล่าสุดเกี่ยวกับการแจ้งเตือนและคำเตือนน้ำท่วมในพื้นที่ของคุณ ลงทะเบียนเพื่อรับการแจ้งเตือนเหตุฉุกเฉินจากหน่วยงานท้องถิ่นและมีวิทยุพยากรณ์อากาศ NOAA หรือแอปพยากรณ์อากาศที่เชื่อถือได้

3.ปกป้องเอกสารสำคัญ: จัดเก็บเอกสารสำคัญ เช่น บัตรประจำตัว กรมธรรม์ประกันภัย เวชระเบียน และโฉนดทรัพย์สิน ไว้ในภาชนะกันน้ำหรือสำรองข้อมูลแบบดิจิทัลในตำแหน่งที่ปลอดภัย

4.รักษาทรัพย์สินของคุณ: ใช้มาตรการป้องกันเพื่อลดความเสียหายจากน้ำท่วมให้กับบ้านของคุณ ยกระดับเต้ารับไฟฟ้า เครื่องใช้ไฟฟ้า และระบบ HVAC ติดตั้งเครื่องกั้นน้ำท่วม เช่น กระสอบทรายหรือประตูระบายน้ำ รอบประตูและหน้าต่าง ถังเชื้อเพลิงสมอและอุปกรณ์กลางแจ้งอื่น ๆ

5.เตรียมอุปกรณ์ฉุกเฉิน: ตุนอุปกรณ์ฉุกเฉิน รวมถึงอาหาร น้ำ ยา ชุดปฐมพยาบาล ไฟฉาย แบตเตอรี่ และผลิตภัณฑ์เพื่อสุขอนามัยที่ไม่เน่าเปื่อย มีสิ่งของเพียงพอสำหรับสมาชิกในครัวเรือนแต่ละคนอย่างน้อยสามวัน

6.สร้างชุดอุปกรณ์น้ำท่วม: ประกอบชุดอุปกรณ์น้ำท่วมที่ประกอบด้วยสิ่งของที่จำเป็น เช่น รองเท้ายาง เสื้อผ้ากันน้ำ ถุงมือ เครื่องมืออเนกประสงค์ วิทยุพกพา ผ้าห่ม และอุปกรณ์สุขอนามัยส่วนบุคคล เก็บชุดอุปกรณ์ให้เข้าถึงได้ง่ายในกรณีที่มีการอพยพ

7.ความพร้อมในการอพยพ: เตรียมการอพยพหากเจ้าหน้าที่ออกคำสั่งอพยพ เตรียมถุงฉุกเฉินที่บรรจุสิ่งของจำเป็นและเอกสารสำคัญไว้ด้วย ปฏิบัติตามเส้นทางอพยพที่หน่วยงานท้องถิ่นกำหนด และหลีกเลี่ยงการขับรถผ่านพื้นที่น้ำท่วม

8.อยู่อย่างปลอดภัยในช่วงน้ำท่วม: หากเกิดน้ำท่วม ควรให้ความสำคัญกับความปลอดภัยเหนือสิ่งอื่นใด หลีกเลี่ยงการเดินหรือขับรถลุยน้ำท่วม เนื่องจากแม้แต่น้ำตื้นก็สามารถเคลื่อนตัวได้อย่างรวดเร็วและเป็นอันตรายได้ อยู่ในอาคารหากเป็นไปได้ แต่เตรียมพร้อมอพยพไปยังพื้นที่สูงหากจำเป็น ติดตามข่าวท้องถิ่นและการแจ้งเตือนเหตุฉุกเฉินเพื่อรับข้อมูลอัปเดต

การเตรียมความพร้อมด้านความปลอดภัยเหล่านี้จะช่วยลดความเสี่ยงและป้องกันตัวเองและคนที่คุณรักในช่วงเหตุการณ์น้ำท่วมได้ อย่าลืมระมัดระวัง ปรับตัวเข้ากับสภาวะที่เปลี่ยนแปลง และขอความช่วยเหลือจากบริการฉุกเฉินหากจำเป็น

จุดกำเนิดของ แร็ปเปอร์ แนวเพลงที่ใครก็ชอบ

คำว่า “แร็ปเปอร์” หมายถึงบุคคลที่แสดงดนตรีแร็พโดยเฉพาะ ซึ่งมีรากฐานมาจากกระแสฮิปฮอป นี่คือรายละเอียดของต้นกำเนิด

สถานที่: บรองซ์ นครนิวยอร์ก ในช่วงต้นทศวรรษ 1970 [Wikipedia: Rapping] นี่คือจุดที่งานปาร์ตี้แบบบล็อกและการรวมตัวในชุมชนได้ส่งเสริมการพัฒนารูปแบบศิลปะนี้

วัฒนธรรม: ชุมชนแอฟริกันอเมริกันและแคริบเบียนมีบทบาทสำคัญในการสร้างสรรค์ [Britannica: Rap]

ผู้บุกเบิก: DJ Kool Herc ผู้อพยพชาวจาเมกา มักถูกเรียกว่า “บิดาแห่งฮิปฮอป” จากการนำเทิร์นเทเบิลและเบรกบีตมาใช้อย่างสร้างสรรค์ในระหว่างการรวมตัวในช่วงแรก ๆ เหล่านี้ [MDLBEAST: History of Rap] ศิลปินอย่าง Gil Scott-Heron ยังมีอิทธิพลต่อพัฒนาการของแร็พด้วยบทกวีคำพูดที่เป็นจังหวะของพวกเขา [MDLBEAST: History of Rap]

ทางออก ปุ๋ย แพงกับวัสดุธรรมชาติเพื่อเกษตรกร

ภายหลังสงครามรัสเซียยูเครนทำให้ราคาปุ๋ยปรับตัวสูงขึ้นเกินเท่าตัว เนื่องจากรัสเซียระงับการส่งออกปุ๋ยและสินค้าที่เกี่ยวข้อง เพื่อตอบโต้นโยบายของชาติตะวันตก จึงทำให้ปุ๋ยในท้องตลาดขาดแคลนและมีราคาสูง เพราะรัสเซียเป็นผู้ส่งออกปุ๋ยอันดับ 1 จึงทำให้ทั่วโลกประสบปัญหาปุ๋ยเคมีขาดแคลนอย่างหนัก ส่งผลให้หลายภาคส่วนเข้ามาดูแลวิกฤตปุ๋ยแพงในครั้งนี้ เพื่อที่จะหาวัสดุทดแทนในปุ๋ยเคมีบางชนิด ซึ่งจริง ๆ แล้วในประเทศไทยมีทางออกมากมายเกี่ยวกับการแก้ปัญหาปุ๋ยแพงหรือปุ๋ยขาดแคลนได้ ไม่ว่าจะเป็นการนำวัสดุเหลือใช้ภาคการเกษตรมาผลิตเป็นปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมักหรือการใช้โดโลไมท์ซึ่งเป็นแร่ธาตุธรรมชาติที่ประเทศไทยสามารถผลิตได้เองในราคาที่ถูกแต่มีคุณประโยชน์มากมาย

โดโลไมท์ คืออะไร

โดโลไมท์ คือ ปูนชนิดหนึ่งที่มีส่วนประกอบของธาตุแคลเซียมและแมกนีเซียม เป็นส่วนประกอบสำคัญและมีฤทธิ์เป็นด่าง จึงเหมาะสมในการนำมาปรับสภาพดินที่เป็นกรดให้กลับมามี PH ที่เป็นกลางหรือเหมาะสมขึ้น ซึ่งตัวโดโลไมท์ไม่ใช่มีเพียงแค่หน้าที่ในการปรับสมดุลของดินเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีคุณสมบัติที่ช่วยในการรักษาโรคพืชนานาชนิดได้อีกด้วย โดยเฉพาะพื้นที่ที่มีการใช้ปุ๋ยเคมีสะสมมาเป็นเวลานาน ส่งผลให้ดินเป็นกรด เมื่อใส่ปุ๋ยเท่าไรพืชก็ไม่สามารถนำสารอาหารเหล่านั้นไปใช้งานได้ จึงจำเป็นต้องมีการปรับสภาพดินให้เป็นกลางเสียก่อน พืชจึงจะสามารถนำปุ๋ยไปใช้งานได้ตามปกติ โดยโดโลไมท์มีฤทธิ์เป็นด่างนอกจากจะช่วยในการปรับสภาพดินให้กรดกลายเป็นกลางแล้วยังมีสารสำคัญอย่างแคลเซียมและแมกนีเซียม ซึ่งเป็นธาตุอาหารรองที่ช่วยให้พืชสามารถดูดซึมแร่ธาตุต่าง ๆ ในดินได้ดีอีกด้วย

ดังนั้นในพื้นที่ที่มีการใช้ปูนโดโลไมท์การใช้ปุ๋ยเคมีในปริมาณมากอาจไม่จำเป็นอีกต่อไป เพียงแต่หันไปใช้ปุ๋ยคอก ปุ๋ยอินทรีย์หรือปุ๋ยน้ำจุลินทรีย์ก็จะช่วยให้พืชกลับมาเจริญเติบโตได้ดีต่อไป เพราะอย่าลืมว่าการที่ดินดี ปลูกอะไรก็งามไปหมด หากแต่จะต้องบำรุงด้วยปุ๋ยคอกและปุ๋ยอินทรีย์อยู่สม่ำเสมอ สลับกับการปรับปรุงดินด้วยโดโลไมท์

แต่การใช้โดโลไมท์ที่มากเกินไปก็ส่งผลเสียต่อดินและพืชด้วยได้เช่นกัน หากมีความสงสัยเกี่ยวกับดินที่ปลูกมีความเหมาะสมหรือมีฤทธิ์เป็นกรด-ด่างมากแค่ไหน ให้ทำการเก็บตัวอย่างดินไปส่งตรวจและวิเคราะห์ที่กรมพัฒนาที่ดินประจำจังหวัด เพื่อหาแนวทางในการปรับปรุงและแก้ไขปัญหาดินต่อไป รวมถึงคำแนะนำในการใส่ปุ๋ย ปริมาณที่พืชชนิดนั้น ๆ ต้องการ เพื่อที่จะใส่ปุ๋ยให้ตรงตามความต้องการของพืช เพราะการที่ใส่ปุ๋ยมากเกินพอดี นอกจากผลผลิตจะไม่ได้เพิ่มมากขึ้น อาจทำให้พืชน็อคปุ๋ยจนเกิดความเสียหายได้ เพียงแต่ในการ

ใช้งานโดโลไมท์ ไม่ควรผสมกับปุ๋ยเคมีควรทำการหว่านลงในดินให้กระจายทั่วแปรงปลูกอย่างน้อย 14 วัน จึงจะทำการปลูกและใส่ปุ๋ยได้

ทำบุญบริจาคเงินที่ไหนดี 2021

การทำบุญมีอยู่หลายวิธี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการทำกิจการงานให้สมบูรณ์ในแต่ละวัน การดูแลพ่อแม่ให้ดีที่สุด รวมไปถึงการบริจาคเงินให้แก่องค์กรการกุศลต่าง ๆ ที่ไม่แสวงหากำไร ซึ่งย่อมเป็นประโยชน์กว่าการลุ้นวิเคราะห์บอลแล้วเล่นพนัน เรามาดูตัวอย่างกันว่ามีมูลนิธิหรือสถานสงเคราะห์ใดบ้างที่น่าบริจาค

บ้านเฟื่องฟ้า – ที่นี่เป็นสถานดูแลเด็กที่พิการทางสมอง เป็นองค์กรของรัฐที่จัดตั้งมานานแล้ว เพื่อการดูแลเด็กที่พิการทางสมองตั้งแต่แรกเกิดจนกระทั่งเข้าสู่วัยอนุบาล ประมาณ 7 ปี โดยมีเจ้าหน้าที่ที่รักเด็กและผ่านการอบรมมาแล้ว เงินบริจาคที่บ้านเฟื่องฟ้าได้รับ จะนำไปซื้อยาและอุปกรณ์ทางการแพทย์ เสื้อผ้า ของใช้เด็ก รวมถึงขนมสำหรับเด็กด้วย

มูลนิธิวัดพระบาทน้ำพุ – หลวงพ่ออลงกตเป็นประธานของมูลนิธิธรรมรักษ์ หรือที่คนรู้จักว่ามูลนิธิวัดพระบาทน้ำพุ จัดตั้งขึ้นเพื่อนำเงินผู้มีจิตศรัทธาไปช่วยเหลือคนเป็นโรคเอดส์ที่ถูกทอดทิ้งจากครอบครัวไร้คนดูแล และมีค่าใช้จ่ายในการรักษาสูง โดยการนำเงินไปใช้จะมีการจัดทำบัญชีอย่างเป็นระบบ ผู้บริจาคจึงมั่นใจได้ว่าทุกบาทที่โอนไปจะถูกนำไปใช้ตรงตามวัตถุประสงค์แน่นอน

มูลนิธิโรงพยาบาลราชวิถี – มูลนิธินี้ถูกก่อตั้งขึ้นเพื่อเป็นกองทุนสำหรับค่ารักษาพยาบาลของผู้ป่วยอนาถา ผู้ป่วยไร้ญาติที่ไม่มีกำลังทรัพย์ แต่กำลังเผชิญกับโรคร้ายต่าง ๆ เช่น มะเร็ง โรคไต ฯลฯ มูลนิธินี้จึงเป็นที่พึ่งของผู้ยากไร้จำนวนมากมาย เชื่อมั่นได้ว่าทุกบาททุกสตางค์ที่ทางโรงพยาบาลได้รับ จะส่งต่อการรักษาที่ดีที่สุดเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของบุคคลเหล่านี้

มูลนิธิสงเคราะห์สัตว์พิการ – นอกจากการทำบุญกับคนแล้ว เรายังสามารถสงเคราะห์สัตว์ เช่น สุนัขหรือแมวที่ถูกอุบัติเหตุรถชนหรือถูกทำร้ายให้พิการ โดยที่เราไม่ต้องรับเป็นภาระในการเลี้ยงดูสัตว์เหล่านี้ด้วยตัวเอง การบริจาคให้ทางมูลนิธิฯ จะถูกนำไปเป็นค่ารักษาพยาบาล เช่น การผ่าตัดต่าง ๆ ค่าอาหาร ค่ายา เพื่อให้สัตว์เหล่านี้มีชีวิตอยู่รอดได้อย่างไม่ทุกข์ทรมาน

มูลนิธิกระจกเงา – เป็นมูลนิธิที่ช่วยเหลือสังคมมานานหลายสิบปี ที่คนทั่วไปรู้จักคือ การตามหาครอบครัวให้กับบุคคลเร่ร่อน และตามหาเด็กที่ถูกลักพาตัว / คนที่สูญหายไปจากครอบครัว เพื่อให้ได้กลับมาอยู่พร้อมหน้ากันอีก ทั้งยังช่วยหาอาชีพให้กับบุคคลเหล่านี้ เพื่อการเลี้ยงดูตัวเองได้ในระยะยาวด้วย โดยกระจายความช่วยเหลือผ่านเครือข่ายทั่วไทย

องค์กรหรือมูลนิธิสงเคราะห์คนและสัตว์ในประเทศไทยมีจำนวนมาก เราสามารถเลือกทำเป็นประจำหรือครั้งคราวให้กับองค์กรใดก็ได้ หากต้องการใช้สิทธิลดหย่อนภาษี ก็สามารถสอบถามรายละเอียดกับแต่ละมูลนิธิ อย่างไรก็ตาม วัตถุประสงค์สูงสุดก็คือเพื่อการสงเคราะห์ผู้อื่นให้มีชีวิตที่ดีขึ้นนั่นเอง

5 วิธี ทำความดีได้ง่าย ๆ แบบไม่ต้องรอใครมาเห็น

การทำความดีคุณสามารถทำได้ในทุก ๆ วัน และไม่จำเป็นต้องให้ใครมาเห็นก็มีความสุขได้ เพราะทุกช่วงชีวิตของคุณทำดีได้อยู่เสมอ และถ้าคุณทำดีได้จนเหมือนเป็นกิจกรรมทั่วไปในชีวิตประจำวัน จะยิ่งทำให้สังคมนี้น่าอยู่มากขึ้น ดังนั้นจึงขอแนะนำ 5 วิธีที่จะทำให้คุณสามารถทำดีได้แบบง่าย ๆ ไม่ต้องรอให้ใครมาเห็น ดังนี้

1.บริจาคของไม่ใช้แล้ว
การทำความดีแรกเป็นวิธีแบบง่าย ๆ คือ การบริจาคสิ่งของที่คุณไม่ได้ใช้แล้วให้กับผู้ยากไร้หรือผู้ที่ด้อยโอกาส เพียงแค่คุณเลือกเสื้อผ้า, กระเป๋า, รองเท้า หรือของไม่ใช้แล้วที่ยังคงมีสภาพดีอยู่ เป็นสภาพที่สามารถใช้งานได้จริงและจะไม่เสียหายเร็วจนเกินไปเพื่อบริจาคต่อ เท่านี้ก็ถือว่าคุณได้ทำดีไปแล้วขั้นแรก

2.บริจาคอาหารหรือของใช้
การบริจาคอาหารแห้ง เช่น ข้าวสาร, บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป, เครื่องปรุงต่าง ๆ ไข่ และบริจาคของใช้จำเป็นสำหรับทั้งเด็กและผู้ใหญ่ให้กับผู้ที่ประสบอุทกภัย, ผู้ลี้ภัย หรือผู้ที่กำลังเดือดร้อนในการใช้ชีวิตอย่างหนัก จะเป็นอีกหนึ่งวิธีการทำดีที่คุณจะสามารถสร้างความสุขให้ได้ทั้งตัวคุณเองและผู้อื่น

3.บริจาคร่างกาย
การบริจาคร่างกายหลังเสียชีวิตแล้ว จะช่วยต่อชีวิตให้กับใครได้หลายคน ไม่ว่าจะเป็นกระจกตา, ไต และอีกหลากหลายส่วนของร่างกาย ที่จะช่วยทำให้ผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ได้ใช้ชีวิตต่อไปอย่างมีความหวังมากยิ่งขึ้น

4.ช่วยเหลือผู้อื่น
การช่วยเหลือผู้อื่น คุณสามารถทำได้ในทุก ๆ วัน ไม่ว่าจะเป็นการช่วยเหลือเพียงเล็กน้อย เช่น การช่วยพาเด็กหรือผู้สูงอายุเดินข้ามถนน, การช่วยคนเข็นรถ, การช่วยเหลือสัตว์ต่าง ๆ จากอันตราย หรือแม้แต่เรื่องเล็กน้อยแค่การเก็บของให้คนอื่นที่ทำหล่นไว้ ก็ถือว่าเป็นความดีที่ทำให้สังคมน่าอยู่มากขึ้น

5.เป็นพลังบวกให้ผู้อื่น
การเป็นพลังบวกที่ดีให้กับผู้อื่นถือว่าเป็นอีกหนึ่งการทำความดีด้วยเช่นกัน เพราะถ้าคุณเป็นคนที่คิดดี ทำดี และพูดดีอยู่เสมอ คุณย่อมทำให้คนรอบข้างมีความสุข อยู่ด้วยแล้วเป็นพลังบวกที่ทำให้คนอื่น ๆ คิดดีและทำดีไปด้วย จึงถือว่าเป็นอีกหนึ่งเรื่องทำดีที่เริ่มต้นได้จากตัวคุณ

สำหรับการทำความดีในปัจจุบันถือว่าเป็นเรื่องที่มีความสำคัญต่อคนในสังคมเป็นอย่างมาก เพราะด้วยโลกที่เปลี่ยนไป การทำดีในทุก ๆ วันของใครหลายคนจึงจางหายไปตามกาลเวลาและโลกที่ต้องเร่งรีบ ทั้งการทำงานและการใช้ชีวิต จึงทำให้ผู้คนมีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่และมีน้ำใจให้กันน้อยลง ดังนั้นถ้าคุณเริ่มทำดีตั้งแต่วันนี้และทำไปทุกวันจนเหมือนเป็นกิจวัตรประจำวันของคุณ เชื่อว่าคุณจะเป็นหนึ่งในพลังบวกที่ส่งผลให้คนอื่น ๆ รู้สึกอยากทำความดีตามอย่างแน่นอน

เริ่มต้นวันใหม่ด้วยกิจกรรมดี ๆ ที่จะทำให้มีความสุขมากขึ้น

เคยได้ยินหรือไม่ว่าหากเราเริ่มต้นวันใหม่ด้วยสิ่งดี ๆ หรือความคิดดี ๆ แล้ว ตลอดทั้งวันจะเป็นวันที่ดีและมีแต่เรื่องดี ๆ เข้ามา เพราะฉะนั้นกิจกรรมยามเช้าจึงส่งผลอย่างยิ่งในการทำให้วันนั้น ๆ เต็มไปด้วยเรื่องราวดีต่อใจ หลายคนจึงให้ความสำคัญกับช่วงเวลายามเช้าเป็นพิเศษ เพราะฉะนั้นลองมาดูกันว่าจะมีกิจกรรมยามเช้าอะไรบ้างที่มักทำให้คุณเจอเรื่องราวดี ๆ ตลอดทั้งวัน

  • จัดที่นอนให้เป็นระเบียบ
    เชื่อว่าหลายคนน่าจะเคยได้ยินว่าการจัดที่นอนถือเป็นการเริ่มต้นวันที่มีความหมาย แม้หลายคนจะมองว่าการเก็บที่นอนเป็นเรื่องง่ายที่ดูจะไม่มีสาระอะไรมากนัก แต่การเก็บที่นอนให้เป็นระเบียบถือเป็นการทำงานแรกของวันให้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี นับเป็นการเริ่มต้นวันดี ๆ ที่มีความหมาย
  • เติมความสดชื่นด้วยเครื่องดื่มแก้วโปรด
    นอกจากการดื่มน้ำ 1 แก้วทันทีหลังตื่นนอนแล้ว อย่าลืมเริ่มต้นวันด้วยเครื่องดื่มแก้วโปรด ไม่ว่าจะเป็นกาแฟ ชา โกโก้ หรือน้ำผักและผลไม้ เพราะเครื่องดื่มดี ๆ จะช่วยทำให้เช้าวันใหม่สดใสยิ่งขึ้น กระตุ้นความคิดสร้างสรรค์และมอบพลังยามเช้าได้เป็นอย่างดี
  • เขียนสิ่งที่ต้องทำแต่ละวัน
    เริ่มต้นเช้าวันใหม่แบบมีแผนการ ​ แนะนำให้ใช้เวลา 5 นาที เพื่อจดรายการสิ่งที่ต้องทำในแต่ละวัน อย่าลืมเรียงลำดับจากสิ่งสำคัญมากไปยังสิ่งที่มีความสำคัญน้อย การจดรายการสิ่งที่ต้องทำจะช่วยให้บริหารจัดการเวลาได้มีประสิทธิภาพมากขึ้นและไม่พลาดทำสิ่งสำคัญ
  • นั่งสมาธิ
    เพราะการทำสมาธิจะทำให้เกิดการตระหนักรู้และทำให้มีสติมากขึ้น การนั่งสมาธิช่วงเช้าจึงถือเป็นการเริ่มต้นวันดี ๆ ด้วยสติและปัญญา อีกทั้งการทำสมาธิจะทำให้มีสติในการทำกิจกรรมต่าง ๆ และพร้อมลุยกับทุกสถานการณ์ที่ต้องเจอ
  • พูดให้กำลังใจตัวเอง
    เชื่อหรือไม่ว่ากำลังใจจากตนเองเป็นกำลังใจสำคัญที่สุด เพราะสามารถสร้างได้เองโดยไม่ต้องพึ่งพาคนอื่น โดยควรพูดแต่สิ่งดี ๆ และสิ่งที่เพิ่มแรงบันดาลใจ เพื่อให้มีพลังใจจัดการได้ทุกสถานการณ์
  • ยืนเส้นยืดสาย
    หลังจากตื่นเช้าควรแบ่งเวลาเล็กน้อยสัก 5-10 นาที ในการยืดเส้นยืดสาย ประโยชน์คือช่วยลดความตึงเครียดและเพิ่มการไหลเวียนของเลือดภายหลังจากนอนท่าเดิมนาน ๆ ตลอดคืน หรือหากเป็นไปได้แนะนำให้ออกกำลังกายเบา ๆ สัก 20-30 นาที นอกจากเพิ่มความกระฉับกระเฉงแล้ว ยังช่วยให้ร่างกายฟิตแอนด์เฟิร์มด้วย

เมื่อเริ่มต้นด้วยสิ่งดี ๆ ทุกเช้าแล้ว เชื่อว่าเรื่องราวดี ๆ จะตามมาตลอดทั้งวัน เพราะฉะนั้นอย่าลืมให้กำลังใจตัวเองบ่อย ๆ คิดแต่สิ่งที่ดี ทำแต่สิ่งที่ดี รับรองว่าสิ่งเหล่านี้จะช่วยเพิ่มความสุขในทุกวันอย่างแน่นอน

ทองคำยังเป็นสุดยอดของขวัญของกำนัลในช่วงปีใหม่ 2564 อยู่หรือไม่

ปกติแล้วในช่วงใกล้สิ้นปีต่อเนื่องไปจนถึงช่วงเทศกาลตรุษจีน ยอดขายทองคำรูปพรรณจะพุ่งแรงเพราะบรรดาบริษัทห้างร้าน, นายจ้างและคนทั่วไปมักจะเลือกหาทองคำเป็นของขวัญของกำนัลมอบให้แก่กัน บ้างก็นิยมใช้แทนเงินโบนัสหรือแต๊ะเอียเพื่อเป็นขวัญและกำลังใจให้แก่กัน บ้างก็นิยมนำใช้ในการจับรางวัลในกิจกรรมรื่นเริงปีใหม่ และอีกไม่น้อยที่นิยมซื้อเป็นสินทรัพย์เก็บไว้สำหรับเสริมความมั่นคงของตนเอง แต่ช่วงปลายปี 2563 สถานการณ์กลับเปลี่ยนไป บรรยากาศตามร้านค้าทองที่เคยคึกคักกลับเงียบเหงาผิดตา ทั้งที่ราคาทองคำในช่วงปลายปีอ่อนตัวลงกว่าในช่วงกลางปีอย่างชัดเจน

พิชญา พิสุทธิกุล อุปนายกสมาคมค้าทองคำเล่าว่าช่วงปลายปี 2563 ยอดการซื้อทองคำรูปพรรณตามร้านค้าทองต่าง ๆ ทรุดลงกว่าช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาไม่น้อยกว่า 50 % คนซื้อบางรายเลือกซื้อทองรูปพรรณที่มีน้ำหนักน้อยลงเช่น 1 และ 2 สลึง แทนการซื้อ 1 บาทเพื่อประหยัดงบประมาณ และมีคนอีกไม่น้อยได้เปลี่ยนการให้ของขวัญจากที่เป็นทองคำรูปพรรณไปเป็นสินค้าประเภทอื่น เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์ไอทีแทน เพราะนอกจากจะช่วยประหยัดงบประมาณแล้ว ยังถือเป็นของขวัญที่ได้รับความนิยมจากผู้คนยุคใหม่มากขึ้น

ส่วนความต้องการทองคำรูปพรรณที่ยังพอมีอยู่บ้างในช่วงปลายปีนั้น บรรดาร้านค้าทองได้พยายามปรับรูปแบบการผลิตทองคำรูปพรรณให้มีไซส์เล็กลง หรือทำเป็นเครื่องประดับที่มีน้ำหนักทองน้อยลงกว่าเดิมออกมาเป็นทางเลือกให้มากขึ้น เพื่อตอบโจทย์กลุ่มคนที่ยังต้องการซื้อทองคำรูปพรรณในช่วงเทศกาลปีใหม่ รวมทั้งการผลิตทองคำแท่งที่มีขนาดลดลงเป็นแท่งละ 1 กรัมและ 1 บาท พร้อมทำเป็นลวดลายตามปีนักษัตรเพื่อเป็นของขวัญสำหรับผู้รับที่นิยมเก็บออมทองคำ เป็นต้น ผู้ค้าบางรายยังได้นำระบบการซื้อขายออนไลน์, ซื้อขายผ่านสมาร์ทโฟน พร้อมบริการจัดส่งทองคำให้ถึงมือผู้รับอย่างรวดเร็วและปลอดภัย เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ที่เปลี่ยนไปจากเดิมด้วย

ต้องยอมรับว่า สาเหตุหลักที่ทำให้บรรยากาศการซื้อขายทองคำช่วงปีใหม่ปีนี้เปลี่ยนไปจากอดีต คือ “ปัญหาเศรษฐกิจ” ทีได้รับผลกระทบอย่างแรงจากโควิด-19 ซึ่งส่งผลให้บรรดาร้านค้าและสถานประกอบการต่าง ๆ ต้องลดค่าใช้จ่ายและเลิกจ้างพนักงานลง ขณะที่คนจำนวนไม่น้อยต้องตกงานกลางคันและขาดกำลังซื้ออย่างหนักและกระทบต่อการซื้อ “ทองคำ” ในที่สุด

แต่คุณค่าใน “ทองคำ” ที่เป็นได้ทั้งเครื่องประดับและทรัพย์สินเพื่อความมั่นคง จึงทำให้ความนิยมในทองคำของผู้คนไม่เคยจางหายไป แม้ว่าจะมีความซบเซาอยู่บ้างตามสถานการณ์เศรษฐกิจ แต่ในที่สุดแล้ว “ทองคำ” ก็ยังคง “ยืนหนึ่ง” ในบรรดาของขวัญของกำนัลเลอค่าที่ถูกใจผู้รับทุกยุคทุกสมัยอย่างแน่นอน

ทำงานมาหลายปี ทำไมถึงไม่มีเงินเก็บเหมือนคนอื่นบ้าง

ไหนมีใครทำงานมา 5 ปีแล้วยังไม่มีเงินเก็บในบัญชีบ้าง ไม่ต้องยกมือแค่คุณรู้อยู่ในใจของคุณคนเดียวก็พอ จากคำถามข้างต้นทำไมต้องทำงาน 5 ปี ก็เพราะคนส่วนใหญ่ เมื่อได้งาน เริ่มมีเงินเดือน ในปี 2 ปีแรกยังสนุกกับการใช้เงินที่หามาได้จากการทำงานอยู่น่ะสิ บางคนรู้สึกตัวไวหน่อยพอเริ่มเข้าสู่ปีที่ 3 ก็จะเริ่มเก็บเงินเพราะอยากได้บ้าน อยากได้รถกันแล้ว แต่ก็มีไม่น้อยที่ทำงานได้เงินมาก็ใช้จ่ายทำงานเป็นสิบปี ไม่มีเงินเก็บเลยก็มี วันนี้เราจะมาเปิดประเด็นแบบเจาะลึกว่าอะไรคือสาเหตุที่ทำให้เราไม่มีเงินเก็บเหมือนคนอื่นเขา

ไม่วางแผนชีวิต

เหตุผลแรกเลยที่ทำให้หลายคนพลาดคือ การไม่รู้จักวางแผนอนาคตให้ตัวเอง เชื่อไหมว่าบางคนเรียนจบมาทำงาน ก็ทำไปวัน ๆ ไม่มีเป้าหมายอะไรในชีวิตเลย กินเที่ยวไปวัน ๆ บางคนก็อ้างว่าไม่มีภาระอะไรที่ต้องรับผิดชอบ ซึ่งความจริงแล้วถ้าคนที่คิดได้คิดเป็น ภาระหน้าที่ที่ต้องตอบแทนบุพการีที่เขาส่งเสียเลี้ยงดูจนเรียนจบ หรือแม้แต่การรับผิดชอบตัวเองในยามเจ็บป่วยหรือแก่เฒ่า หรือการวางแผนเผื่อยามฉุกเฉิน ทุกอย่างที่ว่ามาล้วนเป็นภาระหน้าที่ที่คนธรรมดาทั่วไปควรต้องทำถ้าไม่อยากลำบากตอนแก่ ก็ต้องวางแผนการเก็บเงินตั้งแต่อายุยังน้อย

เพราะคิดว่าเดี๋ยวก็สิ้นเดือน…เดี๋ยวเงินเดือนก็ออก

เมื่อทำงานมีรายได้เป็นเงินเดือนในทุก ๆ สิ้นเดือนเลยใช้จ่ายแบบสบายไม่ต้องคิดมากเพราะคิดว่าเดี๋ยวก็สิ้นเดือน…เดี๋ยวเงินเดือนก็ออก มนุษย์เงินเดือนส่วนใหญ่คิดแบบนั้น ถ้าคุณก็เป็นคนหนึ่งที่คิดแบบนั้น ไม่ต้องแปลกใจที่คุณไม่มีเงินเก็บ

เหลือใช้แล้วค่อยเก็บ

100% ของคนที่คิดแบบนี้ จะมีเงินไม่พอใช้และไม่เคยมีเงินเก็บ เพราะธรรมชาติของคนเราเมื่อมีเงินในมือ ไม่ว่าใครก็มักใช้เกลี้ยงแน่นอน ดังนั้นถ้าอยากมีเงินเก็บต้องแบ่งเก็บก่อนใช้ จึงจะช่วยให้คุณมีเงินเก็บได้

ตกหลุมพรางทางการตลาด

อะไรคือหลุมพราง บัตรเครดิตที่รูดไว้ก่อนค่อยผ่อนทีหลัง ของลดราคาที่ใช้ไม่ใช้ไม่เป็นไรซื้อไว้ก่อนตอนนี้กำลังลดราคา ของมันต้องมี เพื่อนมีฉันก็ต้องมีบ้าง สิ่งเหล่านี้ที่ทำให้คุณอยากได้อยากมีจนลืมนึกไปว่า สิ่งเหล่านั้นเราเสียเงินซื้อไปเพื่อสนองความต้องการของตัวคุณเองและสังคมรอบข้าง หากไม่มีเหมือนใครเขาก็กลัวอาย กลัวน้อยหน้า แต่หารู้ไม่ว่าคุณกำลังตกหลุมพรางของการตลาดเข้าอย่างจัง และมีหลายต่อหลายครั้งที่ซื้อไปแทบไม่เคยจะหยิบเอามาใช้เลยด้วยซ้ำ

มีความสุขกับปัจจุบัน

ฟังดูดี มีความสุขกับปัจจุบัน พรุ่งนี้ค่อยว่ากัน เคยไหมวันนี้ทำงานอยู่ดี ๆ พรุ่งนี้เกิดป่วยโดยไม่คาดคิด แต่ถ้าไม่ใช่แค่การป่วยเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่เป็นการป่วยที่ต้องใช้เงินรักษา หรือเขาให้ออกจากงานกะทันหันล่ะ เมื่อวานยังทำงานได้ แต่วันนี้ไม่มีงานทำแล้ว จะทำอย่างไร เข้าใจว่าทำงานเหนื่อยมันก็ต้องมีบ้างในการให้รางวัลกับตัวเอง ใช่…ข้อนี้ไม่ผิด แต่ต้องมีความพอดีพอประมาณ แบ่งความสุขจากการได้กินได้ใช้มาเป็นเงินเก็บบ้าง อย่างน้อยก็อุ่นใจที่ยังมีเงินสำรองเผื่อฉุกเฉิน หากไม่เกิดอะไรขึ้นก็ถือเป็นเงินเก็บไว้ใช้ในยามเกษียณ คิดแบบนี้จะดีกว่าไหม

คงไม่มีใครที่อยากลำบากตอนแก่ ในวัยที่เรายังมีแรงมีกำลังสามารถทำงานหาเงินได้ก็แบ่งเก็บแต่เริ่มต้น เพราะเราไม่รู้อนาคตว่าจะเกิดอะไรขึ้น มีเงินสำรองไว้ดีกว่าไม่มีเงิน ที่สำคัญการมีเงินเก็บทำให้เรามีทางเลือกมากกว่าการไม่มีเงินเก็บเลย ดังคำที่ว่ามีเงินเดือนสูงเท่าไหร่ไม่สำคัญเท่ากับมีเงินเก็บเท่าไหร่ ประโยคนี้ไม่ได้เป็นแค่คำพูดไว้เท่ ๆ อีกต่อไป แต่มันคือเรื่องจริงที่คนใช้ชีวิตแบบฉลาดเขาใช้กัน

เหตุผลที่ความร้ายสามารถเปลี่ยนมาเป็นความรักได้

เหตุผลที่ความร้ายสามารถเปลี่ยนมาเป็นความรักได้

คุณคงเคยดูละครมาบ้างแล้ว บางเรื่องที่พระเอกได้จับนางเอกขังไว้แล้วไปทรมานนางเอกจนเกิดความลำบาก แล้วคุณเกิดความสงสัยว่า ทำไมนางเอกไม่แจ้งความดำเนินคดีกับพระเอก แต่กลับตกหลุมรักอย่างมีความสุข ซึ่งเรื่องราวถึงร้ายก็รักจากบทละครมีโอกาสเกิดขึ้นได้ในชีวิตจริง เพราะมีหลักจิตวิทยาได้อธิบาย ดังต่อไปนี้

เหตุผลที่ 1 ตัวประกันคล้อยตามผู้ร้าย

การที่ตัวประกันได้คล้อยตามผู้ร้าย ทางจิตวิทยาหรือนักจิตแพทย์ชาวอเมริกัน แฟรงค์ ออซเบิร์ก ได้กล่าวไว้ว่าเป็น สต็อกโฮล์ม ซินโดรม (Stockholm Syndrome) คือ อาการทางจิตอย่างหนึ่งที่ทำให้ตัวประกันคล้อยตามผู้ร้าย ซึ่งมีความเป็นมาจากกรณีโจรปล้นธนาคารที่กรุงสตอกโฮล์มแล้วปล้นไม่สำเร็จ ก็เลยจับตัวประกันไป 4 คน ปรากฏว่าหลังจากที่ได้ประกันไว้เพียง 4 วัน มีการต่อรองเพื่อปล่อยตัวประกัน เมื่อได้ปล่อยตัวประกันทั้ง 4 คนแล้ว ไม่มีใครสักคนที่ให้ร้ายกับผู้ร้าย แต่กลับไประดมทุนเพื่อจะไปช่วยเหลือคดี ที่เป็นเช่นนี้เพราะตัวประกันกับคนร้ายเกิดความผูกพันซึ่งมาจากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็น คนร้ายหน้าตาดี คนร้ายเริ่มเอาใจใส่เหยื่อหลังจากที่ได้ทรมานเหยื่อ ทางจิตวิทยากล่าวไว้ว่า เป็นกระบวนการเอาตัวรอด ถ้าตัวประกันต่อต้านผู้ร้ายก็จะเป็นภัยคุกคามจนถูกทำร้ายมากขึ้น จึงต้องทำตัวให้เป็นพวกเดียวกันกับผู้ร้าย ก็จะไม่เป็นภัยอีกต่อไป
คนปกติก็สามารถเกิดความรักจากความร้ายได้ สังเกตได้จากสามีทำร้ายภรรยามากหรือทุบตีตลอดเวลา แต่ภรรยากลับปกป้องสามีและยังแก้ต่างให้ตลอด

เหตุผลที่ 2 ผู้ร้ายหลงรักตัวประกัน

กรณีที่ผู้ร้ายเป็นฝ่ายที่เห็นใจตัวประกัน เรียกว่า ลิม่า ซินโดรม (Lima Syndrome) ซึ่งเป็นอาการทางจิตที่ผู้ร้ายมีความรู้สึกเห็นใจตัวประกัน โดยเหตุการณ์ได้เกิดขึ้นที่ลิม่า ประเทศเปรู เมื่อสถานทูตญี่ปุ่นได้มีการจัดงานเลี้ยง ปรากฏว่าได้จับตัวประกัน 100 กว่าคนหรือทั้งงานเลี้ยง และได้นำไปทรมาน ไม่ถึงหนึ่งวัน หลังจากนั้น ผู้ร้ายได้กลับใจไม่ทำร้ายตัวประกัน แถมยังให้อาหารและเครื่องดื่ม หรือในกรณีที่มีคนร้ายหลายคน ก็จะเกลี้ยกล่อมคนร้ายคนอื่นเพื่อให้ปล่อยตัวประกันทั้งหมดไป ยอมให้ตำรวจจับ ด้วยสาเหตุหลายอย่าง เช่น ไม่อยากทรมานคนบริสุทธิ์ การอยู่ใกล้ชิดกับตัวประกันเกิดความผูกพัน ตัวประกันมีความน่าสงสาร อาจจะเป็นเด็ก ผู้หญิงตั้งครรภ์และผู้หญิงสวย รวมถึงการตกหลุมรักตัวประกัน บางทีถึงขั้นพาหนีไปแต่งงานคล้ายในละคร แสดงให้เห็นว่า ผู้ร้ายไม่ได้ร้ายจริงและยังมีคุณธรรม แต่จำเป็นต้องทำเพื่อวัตถุประสงค์อะไรบางอย่าง

ความรักไม่มีเหตุผล แม้แต่ความร้ายก็สามารถเปลี่ยนเป็นความรักได้ โดยเฉพาะอาการทางจิตอย่างหนึ่งที่ทางจิตวิทยาได้กล่าวไว้ข้างต้น ทั้ง สต็อกโฮล์ม ซินโดรม และ ลิม่า ซินโดรม แต่ถึงอย่างไรก็ตาม นี่เป็นการอธิบายจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วเท่านั้น การจะทำให้คนอื่นมารักเรานั้น ต้องเริ่มจากทัศนคติและการปฏิบัติที่ดีต่อกัน จึงจะเป็นรักแท้และยั่งยืน ในทางตรงกันข้าม หากจะทำร้ายใครเพื่อหวังให้เขามารักเราได้เหมือนฉากในละครแล้ว พระเอกต้องถูกกฎหมายจัดการเสียก่อนแน่นอน

วิธีเกรงใจอย่างสมดุล เพื่อไม่ให้คนเห็นแก่ตัวเอาเปรียบได้

ความเกรงใจเป็นคุณสมบัติที่ทุกคนควรจะมีเพราะจะทำให้อยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข ในทางตรงข้ามหากไม่มีความเกรงใจเลย ก็จะนำไปสู่การกระทบกระทั่งได้ แต่อย่างไรก็ตาม หากความเกรงใจแบบไม่มีเหตุผลหรือมากเกินไป ก็จะเป็นการเปิดช่องทางให้คนเห็นแก่ตัวเอาเปรียบได้ โดยเฉพาะคนไทยมีนิสัยขี้เกรงใจเป็นทุนเดิม จึงมักจะพูดคำว่า “ไม่เป็นไร” เพราะปฏิเสธไม่เป็น ทำให้รู้สึกอึดอัดใจที่จะต้องปฏิเสธจนถึงขั้นตัวเองต้องเดือดร้อน

ความเกรงใจ มี 2 สาเหตุ คือ สาเหตุแรก เกิดจากความรัก ทำให้ไม่อยากปฏิเสธเพราะปรารถนาให้เขามีความสุขหรือไม่รู้สึกเสียใจ สาเหตุที่สอง เกิดจากความกลัวว่าเขาจะไม่รัก เกลียดหรือกลัวถูกตำหนิ ด้วยเหตุนี้ เราจึงมาบอกวิธีเกรงใจอย่างสมดุล ดังต่อไปนี้

วิธีเกรงใจอย่างสมดุล

วิธีแรก ตั้งคำถามกับตัวเองก่อนที่จะเกรงใจ

เริ่มต้นด้วยการคิดว่า ทำไมต้องเกรงใจผู้อื่น เพราะรู้สึกรักเขาหรือกลัวว่าเขาไม่รัก การตั้งคำถามกับตัวเองแบบนี้เพื่อช่วยให้คุณตอบคำถามให้กับตัวเองได้ และตัดสินใจที่จะเกรงใจหรือไม่เกรงใจง่ายขึ้น

วิธีที่ 2 สังเกตว่าการเกรงใจก่อประโยชน์ให้กับตนเองและผู้อื่นหรือไม่

การมองว่าสิ่งที่กำลังจะเกรงใจเป็นประโยชน์หรือไม่ เช่น ช่วงนี้งานยุ่งมากแต่เพื่อนชวนไปดูคอนเสิร์ต ถ้าเป็นเช่นนี้ควรจะปฏิเสธอย่างนุ่มนวลหรือถนอมน้ำใจและหลีกเลี่ยงการปฏิเสธแบบไร้เยื่อใยเพื่อรักษามิตรภาพ ด้วยการพูดว่า ช่วงนี้ต้องเคลียร์งานให้เสร็จก่อนหรือถ้ามีคนรู้จักชวนซื้อวิตามินเสริม หากสุขภาพไม่ดีจริง เป็นจังหวะที่ดีที่จะอุดหนุนเขาซึ่งเป็นประโยชน์ทั้งเขาและเรา ในทางตรงข้ามถ้าคุณสุขภาพดีอยู่แล้ว เขาชวนซื้อก็ควรปฏิเสธไป ซื้อไปก็ไม่ก่อประโยชน์ให้กับตัวเองแต่อย่างใด

วิธีที่ 3 สังเกตว่าการเกรงใจเกิดโทษให้กับตัวเองและผู้อื่นหรือไม่

สิ่งที่เกิดโทษ เช่น สุขภาพไม่ดีแต่เกรงใจเพื่อนที่ชวนไปดื่มสุรา ก็จะทำให้สุขภาพของตัวเองแย่ลงได้ มีเพื่อนชวนลงทุนแต่คุณรู้สึกว่าเสี่ยงเกินไปและไม่มั่นใจที่จะลงทุน เพื่อนขอลอกข้อสอบแต่เกรงใจจึงให้ลอกได้ก็จะเกิดโทษทั้งผู้ให้ลอกและผู้ลอก สิ่งเหล่านี้จะดีกว่าที่จะปฏิเสธไปเลย และไม่ต้องคิดมากว่า ถ้าไม่ตามเพื่อนแล้วเขาจะเลิกคบเรา เนื่องจากเป็นความเกรงใจที่เสียประโยชน์และนำมาซึ่งความเสียหายนั่นเอง

สำหรับบางเรื่องก็ไม่ควรปฏิเสธแต่อาจจะยื่นข้อเสนอต่อรอง เช่น มีคนเคยช่วยเหลือเกื้อกูลเรามาก่อน แต่เมื่อถึงคราวที่เขาลำบากแล้วมาขอยืมเงิน เราก็ควรจะช่วยเหลือเท่าที่สามารถทำได้ ถ้าเขาขอหนึ่งแสนแต่เรามีแค่หลักหมื่น ก็ต่อรองว่าไม่สามารถให้ตามจำนวนที่ขอได้ แต่จะให้ในระดับที่เราช่วยเหลือได้เท่านั้น ดังนั้น วิธีที่ได้กล่าวข้างต้น บ่งบอกการมีจุดยืนในการเกรงใจอย่างสมดุล ซึ่งเป็นสิ่งที่ทุกคนควรมี เพื่อป้องกันคนเอาเปรียบได้อย่างดีเลยทีเดียว

วิธีเกรงใจอย่างสมดุล